The former Archbishop of Canterbury, Lord Carey, is seeking to wreck the equal marriage bill for England and Wales, by tabling an amendment suggesting that there be two “tiers” of marriage.
Lord Carey has tabled an amendment which could potentially undermine the Marriage (Same Sex Couples) Bill, by redefining opposite-sex marriage as “traditional” marriage, and calling for a distinction to be made between opposite-sex and same-sex marriages.
The proposed clause would read that “nothing in this Act could take away the right of a man and woman to enter a traditional marriage”.
It continues: “A ‘traditional marriage’ is one where the basis of the marriage is the voluntary union of one man and one woman for life, to the exclusion of all others.”
The amendment does not suggest a label for same-sex couples.
The bill survived its second reading last week, as an amendment tabled by Lord Dear was rejected by 390 votes to 148.
The bill comes back in committee the week commencing 17 June. It will have its report stage on 8 July and third reading on 15 July. Minister are hoping that the bill will have Royal Assent before summer recess, at the end of July.
Equal marriage critic Lord Dear has proposed another, similar amendment to the Marriage (Same Sex Couples Bill), protecting those who believe marriage is “the union of one man and one woman for life to the exclusion of all others.”
Earlier in June, Lord Carey, argued that marriage equality should be opposed on the grounds that allowing marriages based “merely” on love and commitment would also justify polygamous unions and weddings between siblings.
In an essay titled ‘Love is Not Enough’, published by the think tank Civitas, Lord Carey argued “not all relationships are the same”.
He put forward claims that marriage equality would enable incestuous marriages to take place – an argument recently given publicity by Lord Norman Tebbit, when he asked of same-sex marriage in an interview: “Why shouldn’t a mother marry her daughter? Why shouldn’t two elderly sisters living together marry each other? I quite fancy my brother!”
Lord Carey, has previously accused David Cameron of creating a “broken society” through the same-sex marriage bill.
Out4Marriage has launched the LobbyALord website in order to make it easy for members of the public to lobby Peers on the issue.
เรียกว่าจิ้นกันจนได้เรื่อง สำหรับนางเอกลูกครึ่ง คิม-คิมเบอร์ลี่ แอน เทียมศิริ และพระเอกหนุ่ม หมาก-ปริญ สุภารัตน์ หลังจากที่มีมือดีนำข้อความในไลน์ที่คิมเบอร์ลี่ส่งถึงหมากว่า “คิดถึง” มาปล่อยทางอินเทอร์เน็ต แถมต่อมาไม่นานหวานใจตัวจริงอย่างหนุ่ม เจ็ท-ณัฐพงศ์ เหมือนประสิทธิเวช ก็ขึ้นข้อความมากมายในไอจีทำนองว่าคุยกันแบบลูกผู้ชายบ้าง แต่ที่หนักสุดคือการลงรูปปืนแล้วมีข้อความประมาณซ้อมไว้ยิงพวก “ลักกินขโมยกิน” งานเข้ามากมายขนาดนี้ ได้เจอสาวคิมที่งานเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ “เจเล่ บิวตี้” ที่สยามพารากอน เลยต้องให้เจ้าตัวเคลียร์สักหน่อย
คิม เผยว่า “เรื่องข้อความคิมไม่รู้ว่ามันออกมาได้ยังไง ไม่อยากจะหาว่าใครเป็นคนถ่ายรูปจากหน้าจอไป ลืมเรื่องนั้นไปเลย เพราะไม่อยากมีเรื่องกับใคร เราคุยกันเองแบบนี้ในกลุ่มของเรากันอยู่แล้ว จะมีบ้างส่งข้อความว่าคิดถึงนะ เราหยอกล้อเล่นกัน ซึ่งภาพที่ออกมามันกลายเป็นทำไมมันแย่จัง ก็อาจจะเล่นกันเกินลิมิตไปหน่อย ตอนนี้ก็ต้องระวังตัวขึ้น คือเราไม่ได้ส่งไปในเชิงความหมายชู้สาวอย่างนั้น เราเป็นพี่น้องกันมาตลอด แต่ก็เข้าใจว่าคนก็คิดกันไปได้ เป็นเรื่องธรรมดา” แต่คนมองว่าวิว-วรรณรท เป็นคนปล่อยข้อความนี้? “หนูไม่ขอพูดละกัน ไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นใคร คือมันชัดเจนอยู่แล้วว่าคนที่ปล่อยต้องการทำให้หนูเสียหาย คงเห็นชัดอยู่แล้วว่ามันมาจากโทรศัพท์ใคร ถามว่าเพราะหมากจีบคิมเลยทำให้วิวไม่พอใจรึเปล่า ก็ไม่รู้ค่ะ มันก็อาจจะมีการเข้าใจผิดกัน” เห็นว่าเจ็ทเองก็นอยด์กับเรื่องข้อความนี้ ? “อาจจะเล่นกัน แต่ไม่รู้เวลา มันเกินไป ก็อาจจะทำให้ใครเข้าใจผิด ซึ่งมันก็เป็นกันได้ ตัวพี่เจ็ทเองก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร เพียงแต่ว่าตอนนี้พี่เขามีเรื่องเยอะมาก” แล้วรูปปืนที่เขาลงในไอจีแล้วเขียนเกี่ยวกับพวกลักกินขโมยกิน คนเลยโยงประเด็นไปว่ามีเรื่องกับหมาก? “ด้วยความที่ตอนนี้เขามีปัญหาเยอะมาก ไหนจะที่บ้าน ไหนจะที่กองถ่ายอีก ก็เลยอาจจะลงระบายมากกว่า เขาบอกว่าเรื่องปืนอันนั้นหมายถึงโจร แต่คนก็เอาไปโยง ตอนแรกที่เราเห็นก็ยอมรับว่าช็อกเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไร พี่เขาก็เข้าไปชี้แจงแล้วว่าไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอย่างที่เข้าใจกัน คือพอมีเรื่องนี้ เราก็เคลียร์กับพี่เขาแล้วนะ หมากเองก็เคลียร์แล้วว่าไม่มีอะไร ไม่ได้ตั้งใจจะอะไรกัน ส่วนพี่เขามีหึงไหม ก็อย่างที่บอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติของคน ก็อาจจะมีตั้งข้อสงสัย มีถาม ๆ บ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังโอเคอยู่” เห็นว่าหมากเป็นสารถีขับรถไปรับไปส่งคิมด้วย และวันที่เซ็นสัญญากับงานเจเล่ก็มีคนเห็นหมากไปรอรับ? “ไม่มีเลยค่ะ เขาไม่เคยไปรับส่งหนู มีมาหาที่กองละคร ก็มาหาเพื่อน ๆ ค่ะ”
สรุปความสัมพันธ์กับพี่เจ็ทเป็นยังไง? “ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้เลิกค่ะ” ตอนนี้รูปในไอจีของเจ็ท ไม่มีรูปหมากตอนที่บวงสรวงละครเรื่อง “ต้นรักริมรั้ว” แล้ว ? “หนูไม่รู้จริง ๆ ตอนนี้ก็ยังถ่ายละครเหมือนเดิม เราก็ทำงานของเรา ต้องอยู่ตรงนี้ พี่หมากก็เป็นพระเอกของเรา ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดต่อไป ถามว่าบรรยากาศในกอง “ต้นรักฯ” อึมครึมไหม ก็ไม่นะ ทุกคนวันนี้โอเค แต่พี่เจ็ทกำลังทำซีรีส์ญี่ปุ่นด้วยอาจจะไม่ค่อยได้มากอง ก็เป็นอาจิ๋มมาดูแทนค่ะ ส่วนเขา 2 คนมีเคลียร์กันไหม คิมไม่รู้ แต่ได้ยินว่าพี่หมากก็โทรฯไปหาพี่เจ็ทบ้างนะ พี่เจ็ทก็บอกไม่เป็นไร เคลียร์กันรู้เรื่อง คือเรื่องกับหนูจบแล้วนะ จริง ๆ ในฐานะคนกลางเราก็ไม่อึดอัด แต่คงเล่นกันน้อยลง ยอมรับค่ะว่าเราก็ไม่กล้าส่งอะไรหาแล้ว สำหรับเรื่องที่คนมองว่าหนูกับหมากมีอะไรเกินคู่จิ้น คือหนูก็คุยแบบนี้กับพี่ณเดชน์ พี่บอยก็อยู่ในกลุ่ม แต่พอมันไม่ได้เป็นคำพูด เลยไม่รู้สำเนียงว่าเราหมายถึงยังไงบ้าง” แต่เจ็ทเองดูไม่พอใจแฟนคลับที่เชียร์ให้เราเป็นคู่จิ้นกับหมาก? “ช่วงนี้เขาอารมณ์แปรปรวน มีหลายปัญหา แต่เขาก็ไม่ค่อยเล่าอะไรอยู่แล้ว ถามว่ากลัวไหมพอมีข่าวกับหมากถี่ ๆ จะกระทบความสัมพันธ์กับพี่เจ็ท มันก็เป็นบทเรียน เราไม่ได้ตั้งใจจะเขียนให้เข้าใจผิดแบบนั้น แต่มันไม่มีอะไรจริง ๆ ที่ผ่านมาหนูก็ไม่เคยทะเลาะกับพี่เจ็ทนะ แต่เขาตั้งคำถามเพราะเรื่องนี้มันก็แรง ส่วนเขามีหวั่นไหวกับข่าวไหม คือตอนนี้โอเคแล้ว เขาเครียดเรื่องส่วนตัวมากกว่า” ล่าสุดเหมือนเราก็ขึ้นข้อความประมาณมี 2 คนในหัวใจ เหมือนลังเลใจอะไรรึเปล่า? “หนูชอบส่วนตัว และขึ้นในแง่บวกตลอด ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ”.
ผ่านพ้นมรสุมทั้งเรื่องคุณแม่ที่เพิ่งเสียชีวิตไปและมือที่สามที่จ้องตีท้ายครัวความรักของพระเอกหนุ่ม ซี-ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ กับหวานใจนางเอกสาว เอมี่
กลิ่นประทุม หลายคนก็ยังลุ้นว่าหลังจากเรื่องแย่ ๆ ผ่านไปคู่ของหนุ่มซีและสาวเอมี่จะมีข่าวดีเร็ว ๆ นี้หรือเปล่า ล่าสุดทั้งคู่ควงแขนกันมาร่วมงานแถลงข่าวโครงการ “เอสเอ็มอี มีตังค์เยอะ” ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เลยต้องรีบคว้าตัวมาอัพเดทงานวิวาห์ว่าจะมีเร็ว ๆ นี้หรือเปล่า ทั้งคู่เผยทันทีกำลังหาฤกษ์และเร่งสร้างเรือนหอ ย้ำปีหน้าจัดงานแน่นอน
ซี เผยว่า “เรื่องแพลนแต่งงานตอนนี้เรากำลังดูฤกษ์อยู่ กำลังทำทุกอย่างไปพร้อม ๆ กันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ หรือการทำงาน เมื่อก่อนเราจะโฟกัสเรื่องงาน แล้วทำงานกันไป แต่ตอนนี้ผมมองว่าเราไม่ได้มีเวลาเยอะแล้ว หลังจากที่คุณแม่ผมได้จากไป ผมรู้สึกว่าผมสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ ไม่ว่าจะเรื่องบ้าน ครอบครัว แต่งงาน ฤกษ์ แล้วเรื่องการทำงานด้วย แม้เราจะมีแค่สองมือสองขา แต่ทำได้ ผมไม่อยากมีคำว่า “อยากทำ แต่ไม่ได้ทำอีกต่อไป” เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ 60 ปี หรือ 24 ชั่วโมง เรามีเวลาแค่ 1 วินาทีด้วยซ้ำ ฉะนั้นตอนนี้อะไรก็ได้ที่ทำได้ผมจะรีบทำทันที ตอนนี้เรานัดกับอาจารย์เพื่อหาฤกษ์อยู่ อาจารย์ไม่ให้แต่งแต่ผมก็จะแต่งแล้ว ถ้าอาจารย์คนนี้ไม่อนุญาต ก็หาอาจารย์คนอื่นก็แล้วกันครับกลัวเอมี่ล่วงเลยไปกว่านี้ครับ ไม่ใช่อายุเอมี่อย่างเดียว ตัวผมเองก็จะล่วงเลยไปเหมือนกัน ปีหน้าแต่ยังระบุวันไม่ได้ เรือนหอตอนนี้ออกแบบบ้านแล้ว ตอนนี้กำลังคุยกับผู้รับเหมา เรากำลังดูว่าคอนเซปต์บ้านจะเป็นแบบไหน เราก็คิดร่วมกัน ล่าสุดเราก็ได้รับเกียรติจากพ่อเอมี่มาออกแบบบ้านให้ แต่เรื่องอัตราส่วนก็อาจจะไม่สำเร็จสักเท่าไหร่ เราต้องมาคุยกันอีกเยอะ ตอนนี้ก็ค่อย ๆ เลือกมาจากเราทั้งคู่มากกว่า เริ่มต้นน่าจะต้องตามคุณเอมี่ เพราะเราเป็นผู้ชายรายละเอียดอาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ อย่างผมไม่ค่อยอะไรมาก เรื่องเงินเราก็ช่วย ๆ กันครับ ผมคิดว่าเงินผมก็เหมือนเงินเขา เงินเขาก็เงินผม เราสร้างบ้านเพื่อเราสองคน เราไม่ได้สร้างเพื่อใคร มันไม่จำเป็นต้องอลังการ ขึ้นชื่อว่าบ้านมันต้องอบอุ่นครับ ไม่ใช่บ้านใหญ่แล้วไม่มีชีวิตเลย ผมก็ไม่เอา อยากได้บ้านที่อยู่แล้วมีความสุข ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับเราสองคนได้”
ถามถึงเรื่องธุรกิจร้านไวน์เห็นว่ามีปัญหากับหุ้นส่วน? “ไม่หรอก เราไม่ได้มีปัญหากับหุ้นส่วนร้ายแรงอะไร เวลาเราทำธุรกิจอะไรการที่เราพูดคุยแล้วมีความเห็นต่างกันมันก็ต้องมีปัญหา แต่สำหรับผมไม่ได้มองตรงนั้น เรามองว่ามันพิสูจน์ว่าเรากำลังทำงานกันอยู่ คนที่ไม่ทะเลาะกันแสดงว่าคุณไม่ได้ทำอะไรเลย จุดประสงค์ของเราคือต้องการให้ร้านประสบความสำเร็จแค่นั้นเอง ทุกธุรกิจต้องมีปัญหา แต่เราไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่เราไม่สามารถร่วมงานกันได้ ส่วนข่าวว่ามีการโกงกันด้วย ไม่มีแน่นอนอย่าเรียกว่าผิดใจเลย เพราะมันฟังดูรุนแรง เดี๋ยวมันจะผิดประเด็น เรียกว่าความเห็นไม่ตรงกัน เรื่องธุรกิจเราไม่ได้ลงทุนกันน้อย ๆ เพราะฉะนั้นเราทำอะไรเราต้องวางแพลนกันเป็นปี ทุกอย่างมันมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เรื่องคิวงาน เรื่องงบประมาณ”
เอมี่ เสริมว่า “เรามีหุ้นทั้งหมด 8 คน เวลาจะนัดเจอกันทีมันก็ลำบาก แล้วยิ่งมันใกล้ครบ 1 ปี เราเลยมานั่งคุยกันว่ามันจะมีอะไรใหม่ ๆ ออกมา เราจะมีอีเวนต์อะไร เราแค่คุยว่าจะทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง แต่ทุกอย่างแฮปปี้ดี เพราะทุกอย่างทะลุเป้าตามที่เราวางไว้ เราก็ยังคงเดินหน้าต่อในธุรกิจเชิงขยายต่อไป”.
“ว่าไง เล่ามา...มันเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าคุณไม่เชื่อใจภรรยาคุณ แล้วคุณจะเชื่อผมได้ยังไง”
“ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น”
“คุณปวุฒิ บอกเขาไปสิ ว่าเรื่องราวเป็นยังไง” รจนาไฉนไม่พอใจ
ปัทม์มองต้องการคำตอบ ปวุฒินิ่งเงียบ แล้วย้อนกลับปัทม์กวน ๆ
“คุณคิดว่าการที่เราสองคนอยู่ด้วยกันทั้งคืน มันจะเกิดอะไรได้บ้าง”
ปวุฒิพูดไม่ทันจบ ปัทม์ต่อยเข้าที่หน้าทันที รจนาไฉนตกใจร้องห้าม ปัทม์ไม่สนใจเข้าต่อยปวุฒิ ปวุฒิก็ตอบโต้ พ่อเลี้ยงพูนทวีวิ่งออกมาจากบ้าน เข้ามาห้าม ถูกปัทม์ต่อยกระเด็นออกไปชนกับชิ, จันทร์เจ้า และปยงค์ที่วิ่งเข้ามา
ปัทม์หน้ามืดไม่ฟังใคร เข้าไปซ้ำปวุฒิที่ล้มลง...รจนาไฉนเข้าไปดึงปัทม์ออก และปกป้องปวุฒิ...ปัทม์ไม่พอใจ
“เธอปกป้องมัน เธอเป็นชู้กับมัน”
รจนาไฉนโมโหเข้ามาตบหน้าปัทม์
“ตบอีกสิ ถ้าคิดว่ามันจะทำให้เธอดูดี ทำให้ฉันใจอ่อนยอมเชื่อว่าเธอไม่ได้มีอะไรกับมัน”
“คุณพูดอะไร”
ปัทม์ส่งโทรศัพท์ที่มีคลิปภาพวิดีโอของรจนาไฉนกับปวุฒิให้ดู รจนาไฉนเห็นภาพก็ตกใจ แต่รู้สึกน้อยใจและเสียใจที่สุดที่เขาไม่เชื่อใจเธอเลย
“มันคงทำให้คุณโกรธและเสียใจ และคิดไปได้ต่าง ๆ นานา แต่ฉันอยากให้คุณฟังความจริงจากคนที่รักคุณ
มีหลายคนเคยพูดไว้ว่า เราสองคนไปด้วยกันไม่ได้ เราต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉันพยายามเอาชนะความคิดนั้นให้ได้ แต่วันนี้...ฉันไม่อยากหลอกตัวเองอีกแล้ว เราไปด้วยกันไม่ได้จริง ๆ”
ปัทม์ได้ฟังคำพูดของรจนาไฉนก็ยิ่งเสียใจ เพราะมันช่างเหมือนกับในฝันร้ายของเขา...
“คุณพูนทวีคะ ช่วยพาฉันออกไปจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด...ได้โปรดเถอะค่ะ”
“ครับ ๆ” พ่อเลี้ยงพูนทวีรีบเดินตรงไปที่รถทันที
รจนาไฉนหันไปมองปัทม์ ปัทม์เดินหนีเข้าไปในบ้าน...ปวุฒิเดินเข้ามาหารจนาไฉน
“คุณเพื่อนจะไปไหน ผมพาไปส่งเอง”
“คุณเพื่อนเขาต้องการฉัน ไม่ใช่คุณ”
ปวุฒิและพ่อเลี้ยงพูนทวีเริ่มออกอาการเขม่นกัน รจนาไฉนเข้ามาบอกปวุฒิ
“อย่าให้เรื่องมันแย่กว่านี้อีกเลยค่ะ”
ปวุฒิเข้าใจความต้องการของรจนาไฉน เดินขึ้นรถขับรถออกไป...โลมฤทัยยืนมองความร้าวฉานของรจนาไฉนยิ้มพอใจ ที่แผนการสำเร็จอย่างง่ายดาย
“ไม่นึกเลยว่ามันจะง่ายอย่างนี้”
“อย่าเพิ่งประมาท คุณปัทม์ไม่ได้ไล่มัน แต่มันไปเอง มันอาจเปลี่ยนใจกลับมาอีกก็ได้” ลำเพาเตือน
“การถูกไม่ไว้ใจ...เป็นจุดอ่อนในใจนังเพื่อน มันไม่มีวันให้อภัยคุณปัทม์ค่ะ”
“แล้วถ้าคุณปัทม์รู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนของลูก กลับไปง้อมันล่ะ”
มันจะไม่เกิดขึ้นค่ะ ..ยิ่งมันเลือกไปกับพ่อเลี้ยงพูนทวี เพื่อนรักหันมาเผาเรือนเพื่อนแบบนี้ จะตอกย้ำให้คุณปัทม์เกลียดชังไม่คิดพบหน้ามันอีก!” โลมฤทัยมั่นใจ
ปัทม์มองภาพถ่ายที่มอบให้รจนาไฉน แล้วโยนทิ้ง เปรมหยิบขึ้นแล้วเดินเอาภาพมาส่งให้ปัทม์...
“ไปตามตัวหนูเพื่อนกลับมาเถอะ”
“คุณแม่จะให้ผมตามตัวผู้หญิงหลายใจ กลับมาตอกย้ำความโง่ของผมเหรอครับ”
“ทำไมถึงไม่เชื่อใจคนที่รัก”
“ไม่ใช่เพราะความเชื่อใจเหรอครับที่ทำร้ายผมเสมอ รจนาไฉนไม่ต่างจากแสงจันทร์หรือผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ ปลิ้นปล้อนหลอกลวง ไม่รู้จักพอ”
“ถ้าลูกยังเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง แม่พูดอะไรไปก็คงไม่มีผล และถ้าหากลูกไม่รู้จักผู้หญิงที่ลูกใช้ชีวิตอยู่ด้วย เขาก็ไม่ควรจะอยู่กับลูกเช่นกัน”
พูดจบเปรมเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ปัทม์ยืนหงุดหงิดงุ่นง่านไปมา หยิบภาพรจนาไฉนขึ้นมา เหมือนจะใจอ่อน แต่กลับปาทิ้งไป
ตอนที่ 15
พ่อเลี้ยงพูนทวีพารจนาไฉนมาที่บ้านของตัวเองเพื่อให้เธอสบายใจขึ้น รจนาไฉนมองสวนดอกไม้ แล้วอดนึกถึงอดีตรักของเธอกับปัทม์ไม่ได้ แต่พยายามจะตัดใจ พ่อเลี้ยงพูนทวียืนมองอยู่ใกล้ ๆ อย่างเข้าใจ
“ไปกันเถอะครับ ผมไปส่ง”
“ฉันไม่กลับค่ะ”
“ใครบอกว่าผมจะไปส่ง ผมจะพาคุณเพื่อนไปเที่ยวสวนสนุก...ไปกันครับ”
พูนทวีเข้ามาจับมือรจนาไฉน รจนาไฉนเอามือออก
“ถ้าคุณเอาตัวฉันกลับไปที่ไร่ปัทมกุล จะเท่ากับคุณตัดความเป็นเพื่อนกับฉัน คุณไม่เจอฉันที่นั่น หรือที่ไหนอีกเลย” รจนาไฉนรู้ทัน
“ผมอยากให้คุณได้ปรับความเข้าใจกัน”
“มันไม่มีประโยชน์อีกแล้วค่ะ”
“คนเข้าใจผิดกัน..เพราะคิดไม่ตรงกัน แค่หันหน้ามาพูดบอกความจริง ทุกอย่างก็จบ”
“เราจะทำอย่างนั้นได้ ถ้าเราเปิดใจ..เชื่อใจกัน ป่วยการเสียเวลากับคนที่ไม่ให้เกียรติคนรักตัวเองแล้วค่ะ...ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
รจนาไฉนเดินเข้าไปยังบริเวณบ้าน พูนทวีกลุ้มใจและเป็นห่วงความรู้สึกของรจนาไฉน
“อยู่ที่นี่ก็ดี จะได้ใกล้กัน...แต่ทำไมมันไม่สุขเลยวะ อย่างนี้ใช่มั้ยที่เขาเรียกยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ”
พ่อเลี้ยงพูนทวีบ่นอย่างเจ็บช้ำใจที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเขา...เวลาเดียวกันปัทม์พยายามทำงานทุกอย่างเพื่อไม่ให้คิดถึงรจนาไฉน พอเขาเข้ามาอาบน้ำให้ม้า แต่ม้าฟึดฟัดใส่ เดินหนี...ชิถือถังน้ำเข้ามาบอกปัทม์
“มันคิดถึงคุณรจนาไฉนน่ะครับ”
“เลิกคิดถึงผู้หญิงหลายใจได้แล้ว” ปัทม์ไม่พอใจหันมาดุชิ
“ชิว่าคุณรจนาไฉนไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้นนะนาย”
“อย่าพูดชื่อนั้นให้ฉันได้ยินอีก”
“ได้นาย ชิจะไม่พูดชื่อนั้นให้นายระเคืองหูอีก ต่อไปนี้ไร่ของเราจะไม่มีชื่อ “รจนาไฉน”
ปัทม์มองดุชิอย่างโกรธ ๆ ก่อนจะเดินหนีไปที่คอกม้าอีกคอก แล้วต้องพบความแปลกใจเห็นโลมฤทัยกำลังอาบน้ำให้ม้าอยู่...โลมฤทัยยิ้มให้ปัทม์
“อาบน้ำให้ม้าสนุกดีนะคะ ตอนแรกพบคิดว่าเป็นงานที่ยาก แต่พอได้ลองทำ ไม่น่ากลัวเลย แถมรู้สึกดีด้วย”
ปัทม์เดินหนีไปอีกคอก เพื่อแปรงขนม้า โลมฤทัยเข้ามาแปรงข้าง ๆ ปัทม์
“พบช่วยนะคะ”
ปัทม์เข้ามากระชากข้อมือโลมฤทัย
“หยุดได้แล้ว..เธอแทนที่รจนาไฉนไม่ได้หรอก”
“ทั้ง ๆ ที่พี่เพื่อนทิ้งคุณไปหาผู้ชายคนอื่นอย่างนั้นเหรอคะ”
ปัทม์สลดลง ปล่อยข้อมือโลมฤทัย
“ทุกอย่างมาถึงทางตัน แต่มันก็มีทางออก คนเราต้องเลือกทางเดินใหม่ที่ทำให้เราพบกับความสุข”
“ความสุขของฉันคือทางตันที่ปิดตาย”
ปัทม์เดินหนีออกไป โลมฤทัยยิ้มพร้อมจะสู้ต่อไป..
“มารยาหญิงนี่แหละ...จะเป็นกุญแจในการไขทางตันนั้นค่ะ” โลมฤทัยบอกกับตัวเอง
ปัทม์เดินมาที่กระท่อมท้ายไร่ แล้วหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่กลั่นแกล้งรจนาไฉนตอนมาแรก ๆ ไม่ได้... เผลอยิ้มออกมา จู่ ๆ ความแค้นใจที่ถูกหักหลังทำให้เขาโกรธขึ้นมาคิดจะจัดการเผากระท่อมทิ้ง ปวุฒิก็เข้ามาขวางไว้เสียก่อน
“ผมเคยคิดว่าคุณเป็นคนเข้มแข็ง แต่เพิ่งรู้ความจริงวันนี้เองว่าอ่อนแอ ไม่กล้ายอมรับความจริง คุณเพื่อนคิดถูกแล้วที่ทิ้งผู้ชายอย่างคุณ”
ปวุฒิพูดไม่ทันจบ ปัทม์ก็พุ่งเข้ามาเล่นงานปวุฒิทันที ทั้งสองต่อยกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ...ปวุฒิขึ้นคร่อมต่อยปัทม์ ปัทม์สภาพหมดทางสู้ ปวุฒิกระชากคอเสื้อขึ้นมาแล้วจ้องหน้า แล้วผลักปัทม์ล้มลงไป
“เมื่อใจแพ้ สู้ใครก็ไม่ชนะหรอก”
“ต้องการอะไร ทำให้รจนาไฉนทิ้งผมไปแล้ว ยังไม่สะใจรึไง รึว่าหญิงชั่วคนนั้นสั่งให้มาเย้ยผม” ปัทม์ลุกขึ้น
ปวุฒิโกรธมากพุ่งเข้าต่อยปัทม์ล้มลงไปอีก...
“เลิกดูถูกผู้หญิงที่รักคุณสักที ถ้ารจนาไฉนทิ้งคุณไปอยู่กับพ่อเลี้ยงพูนทวี ผมจะสะใจที่สุด แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะหัวใจของผู้หญิงคนนั้นรักคุณมากเกินไป”
ปัทม์อึ้งระคนแปลกใจในคำพูดของปวุฒิ
“คุณหมายความว่าไง”
“ความรักไม่ได้หมายถึงการครอบครองหรือแสดงความเป็นเจ้าของ แต่รวมถึงความเชื่อใจ...ผมรักรจนาไฉนมาก แต่เธอรักคุณ”
ปัทม์อึ้งกับความจริงที่ปวุฒิบอก
“ถ้าคุณทำให้รจนาไฉนเสียใจอีก ผมจะเล่นงานคุณถึงตายแน่”
ปวุฒิมองขู่ปัทม์แล้วเดินออกไป ปัทม์เริ่มหูตาสว่าง เข้าใจความจริงมากขึ้น
ด้านอุรารัตน์หลังแน่ใจแล้วว่าเธอท้อง จึงรีบมาบอกปลัดวราห์ให้รู้ ปลัดวราห์ไม่พอใจ ยืนกรานปฏิเสธ แถมยังพูดจาดูถูกว่าไม่รู้ใครเป็นพ่อ
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง ฉันรู้ดีว่าเด็กในท้องเป็นลูกคุณ”
“ผมไม่น่าสอนวิชาเอาตัวรอดให้คุณเลย คุณคงจะใช้มันพร่ำเพรื่อ เอาตัวรอดด้วยวิธีการเอาตัวเข้าแลกมานับไม่ถ้วน ...เด็กคนนี้อาจจะเป็นลูกของคนเข็นผักหลังตลาด พ่อค้าเขียงหมู รึไม่ก็คนงานต่างด้าวก็ได้... ใครจะรู้”
“สารเลว!”
อุรารัตน์โกรธจัดเงื้อมือจะตบปลัดวราห์ แต่เขาไวกว่าจับมือไว้ ก่อนจะควักเงินให้ พลางบีบปากอุรารัตน์
“ห้าร้อย...เป็นค่านมเด็ก ถือว่าเป็นการทำบุญสำหรับคนเคย ๆ แต่จำไว้... เลิกตอแยฉันได้แล้ว ไม่งั้นเด็กคนนี้จะไม่ได้เกิด”
ปลัดวราห์ผลักอุรารัตน์กระแทกกับผนังของโรงแรม แล้วเดินออกไป อุรารัตน์ร้องไห้เสียใจ นงนุชวิ่งเข้ามาดู
“คุณแอรี่ ไม่เป็นไรนะคะ”
อุรารัตน์คิดบางอย่างได้ รีบเดินออกไปด้วยความเสียใจ นงนุชรีบวิ่งตามอย่างเป็นห่วง
“คุณแอรี่จะไปไหนคะ”
“ฉันจะเอาเด็กออก”
นงนุชตกใจ รีบเข้ามาขวางไว้
“ไม่ได้นะคะ คุณแอรี่จะทำร้ายเด็กไม่ได้”
“ฉันเกลียดมัน พ่อมันยังไม่ยอมรับแล้วจะเกิดมาทำไม”
“เด็กไม่ผิดนะคะ อย่างน้อยเขาก็เป็นลูกของเรา ทำแท้งเท่ากับฆ่าคนหยุดสร้างกรรมสร้างบาปให้ตัวเองเถอะค่ะ ไม่งั้นคุณแอรี่ก็ต้องเผชิญกับความลำบากทั้งชีวิต”
นงนุชหว่านล้อมอุรารัตน์ อุรารัตน์ค่อย ๆ คิด ร้องไห้ออกมา
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“ค่อย ๆ คิดค่ะ มีลมหายใจก็ต้องมีทางออกลูกในท้องเกิดมาอาจเป็นอภิชาตบุตรคอยช่วยเหลือเกื้อหนุนแม่นะคะ”
อุรารัตน์คิดตามที่นงนุชพูด เริ่มคิดแผน การในการเอาตัวรอด...เวลาเดียวกันรจนาไฉนกำลังนั่งเด็ดสตรอเบอรี่ในไร่ พ่อเลี้ยงพูนทวีเดินเข้ามา แย่งตะกร้าไป
“คุณเพื่อนทำอะไรครับ”
รจนาไฉนยิ้มเศร้า ๆ พยายามทำใจ ล้อเล่นกับพ่อเลี้ยงพูนทวี
“ซักผ้ามั้งคะ”
“ผมไม่ให้ซัก ที่นี่มีเครื่องซัก ไม่ต้องซักเองครับ”
“ไม่ได้ค่ะ โบราณว่าไว้ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”
“ผมยังไม่มีลูก และผมก็ไม่ชอบควายด้วย ไม่อยากโดนสวมเขา.. เอ่อ...ผมไม่ได้ตั้งใจครับ”
“ช่างมันเถอะค่ะ เอาตะกร้ามาค่ะ เพื่อนช่วยตัดสตรอเบอรี่ให้...ให้ทำเถอะค่ะ นี่คงเป็นงานสุดท้ายที่เพื่อนจะช่วยคุณ”
“คุณจะไปไหน”
“เพื่อนตัดสินใจแล้วค่ะ เพื่อนจะพาคุณพ่อกลับไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ เพื่อนไม่ต้องการให้เป็นภาระของใคร”
“ถ้าคุณเพื่อนเกรงใจปัทม์ พาคุณพ่อมาพักฟื้นที่นี่ก็ได้ครับ ผมยินดี”
“ไม่ล่ะค่ะ แค่นี้เพื่อนก็เกรงใจคุณแย่อยู่แล้ว”
“อย่าลืมสิครับ เราเป็นเพื่อนกัน...โทษฐานที่รู้จักกัน ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะให้ช่วยใครล่ะครับ”
“งั้นเพื่อนคนดีช่วยไปเอาตะกร้าใบใหม่ได้ไหมคะ ใบนี้เต็มแล้วค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับเพื่อน”
พ่อเลี้ยงพูนทวีตะเบ๊ให้ แล้ววิ่งออกไป รจนาไฉนมองแล้วยิ้ม เดินไปนั่งตัดสตรอเบอรี่ต่อ ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ คิดว่าเป็นพ่อเลี้ยงพูนทวี
“ได้ตะกร้ามาเร็วจัง”
รจนาไฉนหันไปก็ตกใจ เมื่อเจอปัทม์ยืนยิ้มอยู่ รจนาไฉนเดินหนีมาเจอพ่อเลี้ยงพูนทวีที่ถือตะกร้าเข้ามา
“คุณเพื่อนจะไปไหนครับ เหมือนหนีใครมา”
รจนาไฉนไม่ทันตอบ ปัทม์เดินตามเข้ามา
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับรจนาไฉน”
พ่อเลี้ยงพูนทวีจะเดินออกไป แต่รจนาไฉนร้องห้ามไว้ บอกไม่มีอะไรจะคุยด้วย พ่อเลี้ยงพูนทวีอึกอัก
“แกมีอะไรก็ไปทำซะ” ปัทม์ไล่พูนทวี
“ฉันไปช่วยนะคะ”
รจนาไฉนจะเดินไป ปัทม์เข้ามาคว้าแขนไว้ แต่เธอสะบัดออก
“คุณไม่มีสิทธิมารั้งตัวฉัน คุณพูนทวีคะ เราไป...”
“แย่จัง ลืมไปว่าซักผ้าทิ้งไว้ ขอตัวไปซักผ้าก่อนนะครับ”
พ่อเลี้ยงพูนทวีรีบวิ่งออกไป หวังให้ทั้งสองเคลียร์กัน
“ฉันอยากปรับความเข้าใจกับเธอ”
“ไม่จำเป็นค่ะ เราต่างเข้าใจกันดี ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ไปเถอะค่ะ”
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าเธอจะฟังฉันและให้อภัยฉัน”
ปัทม์สีหน้าจริงจัง รจนาไฉนมองแล้วยิ้มให้ปัทม์
“งั้นคุณไม่ต้องไปค่ะ ...ฉันไปเอง”
รจนาไฉนเดินเลี่ยงหนีออกไป ปัทม์เดินตาม
“ให้โอกาสผมแก้ตัวเถอะ ผมผิดไปแล้ว...ผมขอโทษ ผมเข้าใจความจริงหมดแล้ว”
รจนาไฉนยังเดินหนี ปัทม์ตัดสินใจร้องเพลงชาวเขาที่รจนาไฉนเคยร้องตอนอยู่ไร่ชากับกลุ่มชาวเขาพอได้ยินเสียงเพลง รจนาไฉนน้ำตาซึมแล้วหยุดเดิน ปัทม์เดินเข้ามาขอโทษ
“ผมอยากให้คุณกลับไปกับผม ไปช่วยเก็บใบชาด้วยกัน...ถ้าปล่อยให้ใบชาอ่อนแตกใบแก่ มันสายเกินไปที่จะเก็บเกี่ยว” ปัทม์น้ำตาซึม
“มันสายไปแล้วค่ะ”
“ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่เราจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน ที่รักและศรัทธาในตัวเรา” ปัทม์น้ำเสียงจริงจัง
“ใช่ค่ะ...ไม่มีคำว่าสายเกินไปกับคนที่รักและศรัทธาในตัวเรา แต่ไม่ใช่คุณ”
รจนาไฉนพูดจบก็เดินออกไป...ปัทม์ยืนอึ้งน้ำตาซึม ที่รจนาไฉนไม่ยอมให้อภัย
เมื่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้วรจนาไฉนมาที่ไร่ปัทมกุล เพื่อมารับตัวนพรัตน์กลับไปรักษาที่กรุงเทพฯ...นพรัตน์ยิ้มให้กำลังใจ
“ลูกตัดสินใจดีแล้วใช่มั้ย”
“เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่ะ เพื่อนจะพาคุณพ่อกลับไปรักษาตัวที่บ้านของเรา”
“ลูกเคยสงสัยไหม ว่าทำไมพ่อยังเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่กับแม่ ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าแม่นิสัยเป็นยังไง...เพราะพ่อเชื่อว่าคนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน พ่อก็เลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี มองข้ามข้อเสีย...พ่อเคยคิดจะทิ้งแม่เขาไป แต่ไม่เคยทำได้สักที เพราะพ่อรู้ว่าพ่อขาดแม่ไม่ได้ เขามีบางส่วนที่เติมเต็มชีวิตพ่อ แล้วลูกล่ะเพื่อน...เคยถามตัวเองบ้าง
มั้ย...ว่าคุณปัทม์คือส่วนเติมเต็มชีวิตลูกรึเปล่า...ลูกต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้”
ปกติไม่ค่อยเห็นพระเอกหนุ่ม นิว-วงศกร ปรมัตถากร ถอดเสื้อถ่ายแบบสักเท่าไหร่ แต่ล่าสุดพอเจ้าตัวโชว์ซิกแพ็คในนิตยสาร “เมน เฮลธ์ส” ฟีดแบ็กดีสุด ๆ ส่วนเรื่องความรักกับ นาว-ทิสานาฏ ศรศึก นั้น คบหาดูใจกันจริง แต่รักครั้งนี้ไม่รีบร้อน ถ้าใช่ก็คือใช่
นิว “ก็เป็นการถ่ายครั้งแรกครับ จริง ๆ หุ่นก็ไม่ได้เฟิร์ม นะ เวลาเตรียมตัวมันน้อย เขาทาบทามมานานแต่ผมไม่มีเวลา ติดละครเสือสั่งฟ้า พอปิดกล้องได้ 3 วันก็ต้องเดินทางไปถ่ายที่นิวยอร์ก ถามว่าเราถูกใจตรงไหนเลยถ่ายเล่มนี้ คือคอนเซปต์เนี่ย มันเป็นแบบนักกีฬา สปอร์ต ผมก็ชอบแนวออกกำลังกาย ฟีดแบ็กที่กลับมาก็โอเคนะ ก่อนหน้านี้เราพยายามไม่ถอดเสื้อถ่ายรูป ก็เก็บไว้มาถ่ายเล่มนี้ ก็ไม่มีใครคิดว่าผมถอดเสื้อผ้าแล้วจะเป็นแบบนั้นนะ คิดว่าเราเป็นแบบตัวเล็ก ๆ ผอม ๆ ครับ ฟีดแบ็กจากชาวสีม่วง ยังไม่มีนะ แต่พี่ ๆ ที่ทำงานที่กองถ่ายเขาก็ชอบกันนะ มันก็หวือหวาที่สุดตั้งแต่ทำงานแล้วละ” นาวว่ายังไงบ้าง? “ก็ไม่ว่ายังไง ผมก็บังคับให้เขาไปซื้อ เขาก็ไม่หวงนะ เขาก็ต้องเข้าใจอยู่แล้ว ก่อนไปถ่ายเราก็มีคุย ๆ ว่าจะไปถ่าย เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร คือมันก็แค่ถอดเสื้อ ไปถ่ายละครผมก็ถอดเสื้ออยู่แล้ว เขาก็เห็นอยู่แล้ว”
เห็นมีภาพเราไปเที่ยวกับนาวบ่อย? “ก็มีบ้าง แต่ผมไม่ได้ปิดบังอะไรอยู่แล้ว ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป สถานะตอนนี้ก็เป็นพี่น้องที่สนิทที่สุดครับ ส่วนปิดรับคนอื่นไหม คือผมคุยกับใครก็คุยทีละคน ถามว่าเราคบกันมานานเท่าไหร่ จริง ๆ ตอนถ่ายเสือสั่งฟ้า เราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เพิ่งมาสนิทกันตอนช่วงท้าย ๆ ที่จะปิดกล้องแล้ว แล้วก็คุยมาเรื่อย ๆ ” เห็นเราไปส่งเสบียงที่กอง “อาญารัก” ด้วย? “เรื่องของเรื่องวันนั้นผมต้องไปงานกับน้องในวันถัดไป เลยไปลองชุดด้วยกันมา พอดีทางผ่านเป็นกองละครพอดี เลยแวะไปส่งน้อง บังเอิญเจอนักข่าวพอดี แต่เราก็ไม่ได้ปิดบังอะไรอยู่แล้ว” เรื่อง “เรือนกาหลง” เล่นกับ ปุ๊กลุกที่เคยมีข่าวกัน กลัวน้องนาวจะกังวลไหม? “ทำงานก็คือทำงาน เขาก็ไม่มีมานั่งเฝ้า ผมโตแล้ว ส่วนจะมีโอกาสร่วมงานกับน้องนาวอีกไหม ตอนนี้ยังไม่มี ถ้าเล่นด้วยกันคงไม่เขินหรอก เพราะว่าเป็นการทำงาน” กับแม่นาวเราคุยบ่อยหรือเปล่า? “ผมคุยกับแม่น้องมากกว่าน้องอีก เพราะตอนอยู่ที่กองถ่ายผมก็ชอบคุยกับผู้ใหญ่อยู่แล้ว แม่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่าเป็นพี่น้องกันก็ดูแลกันไปเรื่อย ๆ คือรักครั้งนี้ผมไม่รีบและไม่ได้คาดหวัง วันข้างหน้าถ้าใช่ก็ใช่” เรามีห่วงเขาเรื่องอะไรบ้างไหม? “เรื่องข่าวครับ เขาเพิ่งเข้าวงการมาใหม่ ๆ แล้วเป็นข่าว ผมรู้ว่ามันเครียด กดดัน เราก็คอยเป็นกำลังใจบอกเขาว่าวันนึงเขาจะเข้าใจเอง ถ้ารักในอาชีพนี้ต้องอดทน อยู่ให้ได้ เขาค่อนข้างคิดมาก เราเข้ามาในวงการบันเทิงเรื่องส่วนตัวมันไม่มี กลายเป็นเรื่องสาธารณะหมด ทุกคนจับตาหมด มันก็เครียด จะใช้ชีวิตก็ต้องระวังไปหมด”
หลังจากที่สัปดาห์ก่อน คุณแม่ของนางร้ายสาว หยก-ธัญยกันต์ ธนกิตติ์ธนานนท์ โดนแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายหญิงสาวคนหนึ่ง แต่ที่ผ่านมายังไม่ทราบความจริงจากปากของคุณแม่เลยแม้แต่น้อย วันก่อนได้มีโอกาสเจอสาวหยก พอถูกถามถึงเรื่องนี้เจ้าตัวก็น้ำตาพรั่งพรูว่า เรื่องนี้เป็นเพราะแม่ของเธอมองโลกในแง่ดีมากเกินไป แต่เธอเองก็ไม่ทราบเรื่องเท่าไหร่ และเท่าที่เห็นแม่ของเธอก็มีบาดแผลเช่นกัน
หยก เผยว่า “ตามที่เป็นข่าว ทุกอย่างต้องมีต้นสายปลายเหตุ จู่ ๆ จะมีเรื่องเลยเป็นไปไม่ได้ หยกไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ หยกอาจจะมาเล่าให้ฟังทั้งหมดคงไม่ได้ เดี๋ยวเล่าผิดไปจะดูไม่ดี คือหลังจากที่มีนักข่าวโทรฯ มาหาคุณแม่ เราก็ถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น หยกก็ได้ยินแวบ ๆ แต่ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าไม่มีเรื่องอะไร แต่คุณแม่ก็บอกว่าโอเค ก็มีเรื่องจริง ๆ แต่หยกเชื่อว่าคุณแม่จะทำอะไรต้องมีเหตุผล คุณแม่หยกก็โตแล้วและหยกก็อยู่ในวงการบันเทิง แม่หยกก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราว เพียงแต่วันที่ 31 พ.ค. มีเรื่องกัน แต่ข่าวว่าลงวันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งมันห่างกันประมาณอาทิตย์นึง ทางโน้นเพิ่งไปแจ้งความ พูดง่าย ๆ ว่าใครแจ้งความก่อนได้เปรียบ เราก็ถามแม่ว่าทำไมไม่ไปแจ้งความ แม่ก็บอกว่ากลัวมีปัญหาและมีข่าว ยังไงก็ไม่พ้นหรอกถ้าคนเขาจะเล่น และได้ยินว่ามีคนโทรฯ ไปบอกสำนักงานข่าวว่าให้ไปทำข่าวตรงนี้ ซึ่งหยกไม่ทราบว่าเป็นใคร มีเจตนาอะไรกันแน่” วันนั้นลงไม้ลงมือถึงขั้นแจ้งความไหม? “น่าจะมีการป้องกันตัว ผลักกันตามประสาผู้หญิงค่ะ ตัวคุณแม่หยกเองที่เห็นแผลล่าสุดก็เป็นรอยเล็บข่วนยาว แต่มันตกสะเก็ดแล้ว ก็คงเป็นรอยแผลเป็นที่แขน ที่คอ ส่วนเรื่องวิวาทแบบนี้เคลียร์กันไหม คือหยกแล้วแต่คุณแม่ เราไม่ใช่เจ้าของเรื่อง ก็ให้กำลังใจเขาอย่างเดียว”
กลัวภาพลักษณ์เรากับคุณแม่เสียไหม? “คิดว่าไม่ค่ะ เพราะคนที่รู้จักหยกและคุณแม่ จะทราบว่าคุณแม่หยกเป็นคนยังไง คุณแม่หยกเป็นคนสนุกและบางครั้งเขาก็เหมือนมองโลกในแง่ดีเกินไป เราห่วงคุณแม่ ต่อไปขอให้เชื่อเซ้นส์ตัวเอง ส่วนหลังจากที่แจ้งความ ฝ่ายนั้นมีโทรฯ มาไกล่เกลี่ยไหม คือไม่น่าจะมีนะ ส่วนเรื่องจะดำเนินยังไงก็คงต้องเป็นของทางตำรวจ เพราะเราไม่ค่อยทราบเรื่องนี้เหมือนกัน” ตอนนี้เราให้กำลังใจคุณแม่ยังไง? “ก่อนหน้านี้หยกเคยเตือนเขาแล้วว่าคบใครให้ระวัง เขาก็บอกว่าต่อไปนี้จะเชื่อเราแล้ว แม่หยกเป็นคนแบบมองโลกในแง่ดี ถ้าใครได้รู้จักแม่หยกจริง ๆ ก็จะรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง (เริ่มร้องไห้) เขาเป็นคนแบบบางครั้งใจดีเกินไป และมองข้ามสิ่งที่หยกเห็น ทีนี้หยกก็สงสารเขาค่ะ ก็อยากให้เขาอย่าไว้ใจใครมาก เพราะบางทีการไว้ใจใคร มันก็เข้าตัวเอง”.
ปกติเป็นสาวเรียบร้อย ใจเย็นสุด ๆ แต่พอต้องมารับบทเป็น ทักษอร นางร้ายในละคร “หัวใจเรือพ่วง” นักร้องสาว แกรนด์-พรรณวรท ด้วยเศียรเกล้า เจ้าตัวต้องพลิกโฉมเป็นสาวจอมบงการ ตามหึงสามีหน้ามืดตามัว สาวแกรนด์เอ่ยปากว่าไกลตัวและยากสุด ๆ ถือเป็นบทที่ท้าทายความสามารถมาก ๆ ส่วนเรื่องหัวใจ ยังนิ่งเงียบ หนุ่มที่เข้ามาคุยส่วนใหญ่เป็นเพื่อนกันไปหมด เพราะไม่โฟกัสเรื่องนี้มากเท่าไหร่
แกรนด์ กล่าวว่า “เรื่องนี้รับบทเป็นทักษอร สาวไฮโซคุณหนูเอาแต่ใจ ชอบบงการ มีอำนาจ เงิน เลยไม่กลัวอะไร เขารักสามี ธาริศ (รับบทโดย สิงโต เดอะ สตาร์) มาก พยายามทำทุกอย่างให้สามีรักและเป็นของเขาคนเดียว ตามหึงหวงและจิก ร้ายมากทีเดียว มีอะไรไม่พอใจก็โวยวายปาข้าวของ แตกต่างจากตัวจริงมาก เวลาเราอารมณ์เสียก็ไม่ปาข้าวของหรือไม่ได้ตามหึงหวงใครแบบนี้ เรื่องนี้ต้องตีความเยอะมากเพราะบทไกลตัว ต้องหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำได้ขนาดนี้ พอต้องเล่นอะไรที่ฉีกจากเดิมก็เหนื่อยนิดหน่อย มีความสุขและสนุกมากกว่า มันเป็นบทที่ท้าทายความสามารถ ตัวละครมีความดราม่ามากด้วย มีหลายคาแรกเตอร์ในตัวเดียวกัน บทเรื่องนี้มีสีสันมากที่สุดเท่าที่เคยเล่นมา มีอะไรให้เราเล่นเยอะ ได้ทำอะไรที่ในชีวิตจริงไม่เคยทำ เช่น เดินเฉิดฉาย เชิด ๆ ตลอดเวลา ก็อยากให้ติดตามชมกันด้วย คนดูดูไปเรื่อย ๆ จากเกลียดจะกลายเป็นน่าสงสาร”
แล้วเรื่องความรักล่ะ? “นิ่งเงียบมากเหมือนเดิม ว่างเปล่า เราไม่ได้ปิดหรือไม่ได้เปิด อยู่เฉย ๆ ของเราไป ใครเข้ามาก็คุย แต่ก็กลายเป็นเพื่อนไปหมด มีคนเข้ามาบ้างแต่ไม่ได้เยอะมาก แกรนด์ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ คนที่เคยคุยเราก็อยากเป็นเพื่อน ไม่อยากรีบหรืออะไรในตอนนี้ เพราะคิดว่าเราต้องยึดถือเรื่องงานและเรียนไปก่อน ถ้าเราให้เวลากับความรักได้ไม่เต็มที่มันก็จะไม่เวิร์ก ถามว่ามีเหงาไหม ก็ไม่เหงา ตารางชีวิตเต็ม ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาไปโฟกัสเรื่องความรักมาก ไม่ได้เหงาอะไร มีครอบครัวและมีความรักที่ดีอยู่แล้ว ไม่กลัวการเป็นโสด” หนุ่มที่เข้ามาสเปกเป็นอย่างไร? “ไม่มีเลย แค่เข้าใจกันก็พอแล้ว ถ้าเราเข้าใจกันทุกเรื่องมันก็จะไปได้ด้วยดี”.
เลิกรากันไปได้พักใหญ่แล้ว สำหรับนักแสดงหนุ่ม ปั้นจั่น-กวิน อิ่มอโนทัย และนางเอกสาว ยิปซี-คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์ แต่ล่าสุดปั้นจั่นโพสต์ภาพกินก๋วยเตี๋ยวชามเดียวกับยิปซีพร้อมเขียนใต้ภาพว่า “ฟ้ากำลังดี” ในขณะเดียวกันด้านฝ่ายหญิงก็ยังโพสต์ข้อความว่า “เราหลายคนอาจไม่ได้เป็นคนดี แต่หากมีความพยายามที่จะดี ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีไม่ใช่หรือ” งานนี้หลายคนเลยสงสัยว่าอดีตคู่รักคู่นี้กลับมารีเทิร์นกันหรือเปล่า ล่าสุดเจอสาวยิปซีในงาน “เปิดเวดดิ้ง แฟร์ 2013 บาย นีโอ” ที่ศูนย์ฯสิริกิติ์
ยิปซี กล่าวว่า “วันนั้นไปทานข้าวและไปเดินสวนจตุจักรด้วยกัน แต่ไม่ใช่รีเทิร์น ปกติยิปซีเคยบอกไปแล้วว่านาน ๆ ทีเราก็มีเจอกันบ้าง มีคุยกันเป็นระยะ ๆ ที่ไปกินข้าวด้วยกันวันนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสพิเศษอะไร แค่ว่างตรงกันพอดี ถามว่าเป็นการทานข้าวเพื่อสานสัมพันธ์ไหม มันก็ไม่ได้ขนาดนั้น แล้วแต่จังหวะมากกว่า ถ้างานยุ่งทั้งคู่ก็จะไม่ค่อยมีเวลาได้คุยหรือเจอกัน แต่ช่วงนี้คุยกันบ่อยขึ้น” ในไอจีปั้นจั่นเขียนข้อความประมาณว่า “ฟ้ากำลังดี” ด้วยนะ? “อันนี้ต้องไปถามพี่ปั้นจั่น ยิปซีไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร อาจจะวันนั้นฟ้าใสแดดร้อนหรือเปล่า ความสัมพันธ์ของเรามันก็มีการกลับมาคุยเยอะขึ้น แต่ไม่ได้ไปในทางกลับมาคบกัน ช่วงนี้พี่เขางานเยอะ ยิปซีก็เหนื่อยอยู่ คนที่ลุ้นให้เรารีเทิร์นกันก็ต้องขอบคุณ แต่มันเป็นเรื่องของจังหวะเวลาด้วย ส่วนโอกาสที่กลับมานั้นก็มีทั้งเป็นไปได้และไม่ได้ ส่วนที่มีข่าวว่าเรา 2 คนต่างฝ่ายต่างมีคนใหม่แล้วนั้น ทางพี่ปั้นจั่นยิปซีก็ได้ยินมาว่าเขามีคนคุยอยู่เรื่อย ๆ เขาก็อัพเดทให้ฟังว่าคุยกับใครหรือเลิกคุยไปแล้ว ตอนเขาเล่าให้ฟังเราก็ไม่เฮิร์ต เราโอเคกับความสัมพันธ์แบบนี้ สำหรับเราถ้าเขาถามว่าเราคุยกับใครเราก็บอกเขาไป ตรง ๆ ว่ามีหรือไม่มี เขาเองก็ไม่มีทีท่าหึง เพราะมันเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงแล้ว”
“เราเปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ฝ่ายมีคนใหม่ได้ ไม่ได้ปิดกั้นกัน ถามว่ายิปซีมีคนใหม่หรือยัง ก็ยังไม่มีค่ะ ตอนนี้ทำงานและเรียนครบ 7 วัน” ที่ปั้นจั่นคุย ๆ เลิก ๆ กับสาวอื่น เป็นเพราะลืมเราไม่ได้หรือเปล่า? “ยิปซีว่าเขาอาจจะยังไม่เจอคนที่ใช่มาก ๆ อาจเป็นการค้นหาของเขา เขาอาจจะไม่ได้โชคดีหาคนใหม่แล้วเจอเลย อาจจะไปเจอคนอื่นหลังจากนี้หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของเขาดีกว่า ส่วนเรื่องที่ยิปซีเคยมีข่าวกับไฮโซ พี่ปั้นจั่นก็ไม่เคยถาม เรากลับไปเล่าให้เขาฟังด้วยซ้ำว่า “อยู่ดี ๆ เราก็มีข่าวกับไฮโซชื่อ ขุนพล คุณรู้จักไหม?” เขาก็บอกว่าไม่รู้จัก เขาก็งงเหมือนกันว่าข่าวมาได้อย่างไร สำหรับตอนนี้ก็ถือว่ายิปซีโสด แต่สนิทหรือเปล่า ไม่แน่ใจ แต่ถ้ารีเทิร์นจริงคู่ยิปซีกับพี่ปั้นจั่นบอกแน่นอนค่ะ”
