“ว่าไง เล่ามา...มันเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าคุณไม่เชื่อใจภรรยาคุณ แล้วคุณจะเชื่อผมได้ยังไง”
“ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น”
“คุณปวุฒิ บอกเขาไปสิ ว่าเรื่องราวเป็นยังไง” รจนาไฉนไม่พอใจ
ปัทม์มองต้องการคำตอบ ปวุฒินิ่งเงียบ แล้วย้อนกลับปัทม์กวน ๆ
“คุณคิดว่าการที่เราสองคนอยู่ด้วยกันทั้งคืน มันจะเกิดอะไรได้บ้าง”
ปวุฒิพูดไม่ทันจบ ปัทม์ต่อยเข้าที่หน้าทันที รจนาไฉนตกใจร้องห้าม ปัทม์ไม่สนใจเข้าต่อยปวุฒิ ปวุฒิก็ตอบโต้ พ่อเลี้ยงพูนทวีวิ่งออกมาจากบ้าน เข้ามาห้าม ถูกปัทม์ต่อยกระเด็นออกไปชนกับชิ, จันทร์เจ้า และปยงค์ที่วิ่งเข้ามา
ปัทม์หน้ามืดไม่ฟังใคร เข้าไปซ้ำปวุฒิที่ล้มลง...รจนาไฉนเข้าไปดึงปัทม์ออก และปกป้องปวุฒิ...ปัทม์ไม่พอใจ
“เธอปกป้องมัน เธอเป็นชู้กับมัน”
รจนาไฉนโมโหเข้ามาตบหน้าปัทม์
“ตบอีกสิ ถ้าคิดว่ามันจะทำให้เธอดูดี ทำให้ฉันใจอ่อนยอมเชื่อว่าเธอไม่ได้มีอะไรกับมัน”
“คุณพูดอะไร”
ปัทม์ส่งโทรศัพท์ที่มีคลิปภาพวิดีโอของรจนาไฉนกับปวุฒิให้ดู รจนาไฉนเห็นภาพก็ตกใจ แต่รู้สึกน้อยใจและเสียใจที่สุดที่เขาไม่เชื่อใจเธอเลย
“มันคงทำให้คุณโกรธและเสียใจ และคิดไปได้ต่าง ๆ นานา แต่ฉันอยากให้คุณฟังความจริงจากคนที่รักคุณ
มีหลายคนเคยพูดไว้ว่า เราสองคนไปด้วยกันไม่ได้ เราต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉันพยายามเอาชนะความคิดนั้นให้ได้ แต่วันนี้...ฉันไม่อยากหลอกตัวเองอีกแล้ว เราไปด้วยกันไม่ได้จริง ๆ”
ปัทม์ได้ฟังคำพูดของรจนาไฉนก็ยิ่งเสียใจ เพราะมันช่างเหมือนกับในฝันร้ายของเขา...
“คุณพูนทวีคะ ช่วยพาฉันออกไปจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด...ได้โปรดเถอะค่ะ”
“ครับ ๆ” พ่อเลี้ยงพูนทวีรีบเดินตรงไปที่รถทันที
รจนาไฉนหันไปมองปัทม์ ปัทม์เดินหนีเข้าไปในบ้าน...ปวุฒิเดินเข้ามาหารจนาไฉน
“คุณเพื่อนจะไปไหน ผมพาไปส่งเอง”
“คุณเพื่อนเขาต้องการฉัน ไม่ใช่คุณ”
ปวุฒิและพ่อเลี้ยงพูนทวีเริ่มออกอาการเขม่นกัน รจนาไฉนเข้ามาบอกปวุฒิ
“อย่าให้เรื่องมันแย่กว่านี้อีกเลยค่ะ”
ปวุฒิเข้าใจความต้องการของรจนาไฉน เดินขึ้นรถขับรถออกไป...โลมฤทัยยืนมองความร้าวฉานของรจนาไฉนยิ้มพอใจ ที่แผนการสำเร็จอย่างง่ายดาย
“ไม่นึกเลยว่ามันจะง่ายอย่างนี้”
“อย่าเพิ่งประมาท คุณปัทม์ไม่ได้ไล่มัน แต่มันไปเอง มันอาจเปลี่ยนใจกลับมาอีกก็ได้” ลำเพาเตือน
“การถูกไม่ไว้ใจ...เป็นจุดอ่อนในใจนังเพื่อน มันไม่มีวันให้อภัยคุณปัทม์ค่ะ”
“แล้วถ้าคุณปัทม์รู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนของลูก กลับไปง้อมันล่ะ”
มันจะไม่เกิดขึ้นค่ะ ..ยิ่งมันเลือกไปกับพ่อเลี้ยงพูนทวี เพื่อนรักหันมาเผาเรือนเพื่อนแบบนี้ จะตอกย้ำให้คุณปัทม์เกลียดชังไม่คิดพบหน้ามันอีก!” โลมฤทัยมั่นใจ
ปัทม์มองภาพถ่ายที่มอบให้รจนาไฉน แล้วโยนทิ้ง เปรมหยิบขึ้นแล้วเดินเอาภาพมาส่งให้ปัทม์...
“ไปตามตัวหนูเพื่อนกลับมาเถอะ”
“คุณแม่จะให้ผมตามตัวผู้หญิงหลายใจ กลับมาตอกย้ำความโง่ของผมเหรอครับ”
“ทำไมถึงไม่เชื่อใจคนที่รัก”
“ไม่ใช่เพราะความเชื่อใจเหรอครับที่ทำร้ายผมเสมอ รจนาไฉนไม่ต่างจากแสงจันทร์หรือผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ ปลิ้นปล้อนหลอกลวง ไม่รู้จักพอ”
“ถ้าลูกยังเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง แม่พูดอะไรไปก็คงไม่มีผล และถ้าหากลูกไม่รู้จักผู้หญิงที่ลูกใช้ชีวิตอยู่ด้วย เขาก็ไม่ควรจะอยู่กับลูกเช่นกัน”
พูดจบเปรมเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ปัทม์ยืนหงุดหงิดงุ่นง่านไปมา หยิบภาพรจนาไฉนขึ้นมา เหมือนจะใจอ่อน แต่กลับปาทิ้งไป
ตอนที่ 15
พ่อเลี้ยงพูนทวีพารจนาไฉนมาที่บ้านของตัวเองเพื่อให้เธอสบายใจขึ้น รจนาไฉนมองสวนดอกไม้ แล้วอดนึกถึงอดีตรักของเธอกับปัทม์ไม่ได้ แต่พยายามจะตัดใจ พ่อเลี้ยงพูนทวียืนมองอยู่ใกล้ ๆ อย่างเข้าใจ
“ไปกันเถอะครับ ผมไปส่ง”
“ฉันไม่กลับค่ะ”
“ใครบอกว่าผมจะไปส่ง ผมจะพาคุณเพื่อนไปเที่ยวสวนสนุก...ไปกันครับ”
พูนทวีเข้ามาจับมือรจนาไฉน รจนาไฉนเอามือออก
“ถ้าคุณเอาตัวฉันกลับไปที่ไร่ปัทมกุล จะเท่ากับคุณตัดความเป็นเพื่อนกับฉัน คุณไม่เจอฉันที่นั่น หรือที่ไหนอีกเลย” รจนาไฉนรู้ทัน
“ผมอยากให้คุณได้ปรับความเข้าใจกัน”
“มันไม่มีประโยชน์อีกแล้วค่ะ”
“คนเข้าใจผิดกัน..เพราะคิดไม่ตรงกัน แค่หันหน้ามาพูดบอกความจริง ทุกอย่างก็จบ”
“เราจะทำอย่างนั้นได้ ถ้าเราเปิดใจ..เชื่อใจกัน ป่วยการเสียเวลากับคนที่ไม่ให้เกียรติคนรักตัวเองแล้วค่ะ...ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
รจนาไฉนเดินเข้าไปยังบริเวณบ้าน พูนทวีกลุ้มใจและเป็นห่วงความรู้สึกของรจนาไฉน
“อยู่ที่นี่ก็ดี จะได้ใกล้กัน...แต่ทำไมมันไม่สุขเลยวะ อย่างนี้ใช่มั้ยที่เขาเรียกยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ”
พ่อเลี้ยงพูนทวีบ่นอย่างเจ็บช้ำใจที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเขา...เวลาเดียวกันปัทม์พยายามทำงานทุกอย่างเพื่อไม่ให้คิดถึงรจนาไฉน พอเขาเข้ามาอาบน้ำให้ม้า แต่ม้าฟึดฟัดใส่ เดินหนี...ชิถือถังน้ำเข้ามาบอกปัทม์
“มันคิดถึงคุณรจนาไฉนน่ะครับ”
“เลิกคิดถึงผู้หญิงหลายใจได้แล้ว” ปัทม์ไม่พอใจหันมาดุชิ
“ชิว่าคุณรจนาไฉนไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้นนะนาย”
“อย่าพูดชื่อนั้นให้ฉันได้ยินอีก”
“ได้นาย ชิจะไม่พูดชื่อนั้นให้นายระเคืองหูอีก ต่อไปนี้ไร่ของเราจะไม่มีชื่อ “รจนาไฉน”
ปัทม์มองดุชิอย่างโกรธ ๆ ก่อนจะเดินหนีไปที่คอกม้าอีกคอก แล้วต้องพบความแปลกใจเห็นโลมฤทัยกำลังอาบน้ำให้ม้าอยู่...โลมฤทัยยิ้มให้ปัทม์
“อาบน้ำให้ม้าสนุกดีนะคะ ตอนแรกพบคิดว่าเป็นงานที่ยาก แต่พอได้ลองทำ ไม่น่ากลัวเลย แถมรู้สึกดีด้วย”
ปัทม์เดินหนีไปอีกคอก เพื่อแปรงขนม้า โลมฤทัยเข้ามาแปรงข้าง ๆ ปัทม์
“พบช่วยนะคะ”
ปัทม์เข้ามากระชากข้อมือโลมฤทัย
“หยุดได้แล้ว..เธอแทนที่รจนาไฉนไม่ได้หรอก”
“ทั้ง ๆ ที่พี่เพื่อนทิ้งคุณไปหาผู้ชายคนอื่นอย่างนั้นเหรอคะ”
ปัทม์สลดลง ปล่อยข้อมือโลมฤทัย
“ทุกอย่างมาถึงทางตัน แต่มันก็มีทางออก คนเราต้องเลือกทางเดินใหม่ที่ทำให้เราพบกับความสุข”
“ความสุขของฉันคือทางตันที่ปิดตาย”
ปัทม์เดินหนีออกไป โลมฤทัยยิ้มพร้อมจะสู้ต่อไป..
“มารยาหญิงนี่แหละ...จะเป็นกุญแจในการไขทางตันนั้นค่ะ” โลมฤทัยบอกกับตัวเอง
ปัทม์เดินมาที่กระท่อมท้ายไร่ แล้วหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่กลั่นแกล้งรจนาไฉนตอนมาแรก ๆ ไม่ได้... เผลอยิ้มออกมา จู่ ๆ ความแค้นใจที่ถูกหักหลังทำให้เขาโกรธขึ้นมาคิดจะจัดการเผากระท่อมทิ้ง ปวุฒิก็เข้ามาขวางไว้เสียก่อน
“ผมเคยคิดว่าคุณเป็นคนเข้มแข็ง แต่เพิ่งรู้ความจริงวันนี้เองว่าอ่อนแอ ไม่กล้ายอมรับความจริง คุณเพื่อนคิดถูกแล้วที่ทิ้งผู้ชายอย่างคุณ”
ปวุฒิพูดไม่ทันจบ ปัทม์ก็พุ่งเข้ามาเล่นงานปวุฒิทันที ทั้งสองต่อยกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ...ปวุฒิขึ้นคร่อมต่อยปัทม์ ปัทม์สภาพหมดทางสู้ ปวุฒิกระชากคอเสื้อขึ้นมาแล้วจ้องหน้า แล้วผลักปัทม์ล้มลงไป
“เมื่อใจแพ้ สู้ใครก็ไม่ชนะหรอก”
“ต้องการอะไร ทำให้รจนาไฉนทิ้งผมไปแล้ว ยังไม่สะใจรึไง รึว่าหญิงชั่วคนนั้นสั่งให้มาเย้ยผม” ปัทม์ลุกขึ้น
ปวุฒิโกรธมากพุ่งเข้าต่อยปัทม์ล้มลงไปอีก...
“เลิกดูถูกผู้หญิงที่รักคุณสักที ถ้ารจนาไฉนทิ้งคุณไปอยู่กับพ่อเลี้ยงพูนทวี ผมจะสะใจที่สุด แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะหัวใจของผู้หญิงคนนั้นรักคุณมากเกินไป”
ปัทม์อึ้งระคนแปลกใจในคำพูดของปวุฒิ
“คุณหมายความว่าไง”
“ความรักไม่ได้หมายถึงการครอบครองหรือแสดงความเป็นเจ้าของ แต่รวมถึงความเชื่อใจ...ผมรักรจนาไฉนมาก แต่เธอรักคุณ”
ปัทม์อึ้งกับความจริงที่ปวุฒิบอก
“ถ้าคุณทำให้รจนาไฉนเสียใจอีก ผมจะเล่นงานคุณถึงตายแน่”
ปวุฒิมองขู่ปัทม์แล้วเดินออกไป ปัทม์เริ่มหูตาสว่าง เข้าใจความจริงมากขึ้น
ด้านอุรารัตน์หลังแน่ใจแล้วว่าเธอท้อง จึงรีบมาบอกปลัดวราห์ให้รู้ ปลัดวราห์ไม่พอใจ ยืนกรานปฏิเสธ แถมยังพูดจาดูถูกว่าไม่รู้ใครเป็นพ่อ
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง ฉันรู้ดีว่าเด็กในท้องเป็นลูกคุณ”
“ผมไม่น่าสอนวิชาเอาตัวรอดให้คุณเลย คุณคงจะใช้มันพร่ำเพรื่อ เอาตัวรอดด้วยวิธีการเอาตัวเข้าแลกมานับไม่ถ้วน ...เด็กคนนี้อาจจะเป็นลูกของคนเข็นผักหลังตลาด พ่อค้าเขียงหมู รึไม่ก็คนงานต่างด้าวก็ได้... ใครจะรู้”
“สารเลว!”
อุรารัตน์โกรธจัดเงื้อมือจะตบปลัดวราห์ แต่เขาไวกว่าจับมือไว้ ก่อนจะควักเงินให้ พลางบีบปากอุรารัตน์
“ห้าร้อย...เป็นค่านมเด็ก ถือว่าเป็นการทำบุญสำหรับคนเคย ๆ แต่จำไว้... เลิกตอแยฉันได้แล้ว ไม่งั้นเด็กคนนี้จะไม่ได้เกิด”
ปลัดวราห์ผลักอุรารัตน์กระแทกกับผนังของโรงแรม แล้วเดินออกไป อุรารัตน์ร้องไห้เสียใจ นงนุชวิ่งเข้ามาดู
“คุณแอรี่ ไม่เป็นไรนะคะ”
อุรารัตน์คิดบางอย่างได้ รีบเดินออกไปด้วยความเสียใจ นงนุชรีบวิ่งตามอย่างเป็นห่วง
“คุณแอรี่จะไปไหนคะ”
“ฉันจะเอาเด็กออก”
นงนุชตกใจ รีบเข้ามาขวางไว้
“ไม่ได้นะคะ คุณแอรี่จะทำร้ายเด็กไม่ได้”
“ฉันเกลียดมัน พ่อมันยังไม่ยอมรับแล้วจะเกิดมาทำไม”
“เด็กไม่ผิดนะคะ อย่างน้อยเขาก็เป็นลูกของเรา ทำแท้งเท่ากับฆ่าคนหยุดสร้างกรรมสร้างบาปให้ตัวเองเถอะค่ะ ไม่งั้นคุณแอรี่ก็ต้องเผชิญกับความลำบากทั้งชีวิต”
นงนุชหว่านล้อมอุรารัตน์ อุรารัตน์ค่อย ๆ คิด ร้องไห้ออกมา
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“ค่อย ๆ คิดค่ะ มีลมหายใจก็ต้องมีทางออกลูกในท้องเกิดมาอาจเป็นอภิชาตบุตรคอยช่วยเหลือเกื้อหนุนแม่นะคะ”
อุรารัตน์คิดตามที่นงนุชพูด เริ่มคิดแผน การในการเอาตัวรอด...เวลาเดียวกันรจนาไฉนกำลังนั่งเด็ดสตรอเบอรี่ในไร่ พ่อเลี้ยงพูนทวีเดินเข้ามา แย่งตะกร้าไป
“คุณเพื่อนทำอะไรครับ”
รจนาไฉนยิ้มเศร้า ๆ พยายามทำใจ ล้อเล่นกับพ่อเลี้ยงพูนทวี
“ซักผ้ามั้งคะ”
“ผมไม่ให้ซัก ที่นี่มีเครื่องซัก ไม่ต้องซักเองครับ”
“ไม่ได้ค่ะ โบราณว่าไว้ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”
“ผมยังไม่มีลูก และผมก็ไม่ชอบควายด้วย ไม่อยากโดนสวมเขา.. เอ่อ...ผมไม่ได้ตั้งใจครับ”
“ช่างมันเถอะค่ะ เอาตะกร้ามาค่ะ เพื่อนช่วยตัดสตรอเบอรี่ให้...ให้ทำเถอะค่ะ นี่คงเป็นงานสุดท้ายที่เพื่อนจะช่วยคุณ”
“คุณจะไปไหน”
“เพื่อนตัดสินใจแล้วค่ะ เพื่อนจะพาคุณพ่อกลับไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ เพื่อนไม่ต้องการให้เป็นภาระของใคร”
“ถ้าคุณเพื่อนเกรงใจปัทม์ พาคุณพ่อมาพักฟื้นที่นี่ก็ได้ครับ ผมยินดี”
“ไม่ล่ะค่ะ แค่นี้เพื่อนก็เกรงใจคุณแย่อยู่แล้ว”
“อย่าลืมสิครับ เราเป็นเพื่อนกัน...โทษฐานที่รู้จักกัน ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะให้ช่วยใครล่ะครับ”
“งั้นเพื่อนคนดีช่วยไปเอาตะกร้าใบใหม่ได้ไหมคะ ใบนี้เต็มแล้วค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับเพื่อน”
พ่อเลี้ยงพูนทวีตะเบ๊ให้ แล้ววิ่งออกไป รจนาไฉนมองแล้วยิ้ม เดินไปนั่งตัดสตรอเบอรี่ต่อ ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ คิดว่าเป็นพ่อเลี้ยงพูนทวี
“ได้ตะกร้ามาเร็วจัง”
รจนาไฉนหันไปก็ตกใจ เมื่อเจอปัทม์ยืนยิ้มอยู่ รจนาไฉนเดินหนีมาเจอพ่อเลี้ยงพูนทวีที่ถือตะกร้าเข้ามา
“คุณเพื่อนจะไปไหนครับ เหมือนหนีใครมา”
รจนาไฉนไม่ทันตอบ ปัทม์เดินตามเข้ามา
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับรจนาไฉน”
พ่อเลี้ยงพูนทวีจะเดินออกไป แต่รจนาไฉนร้องห้ามไว้ บอกไม่มีอะไรจะคุยด้วย พ่อเลี้ยงพูนทวีอึกอัก
“แกมีอะไรก็ไปทำซะ” ปัทม์ไล่พูนทวี
“ฉันไปช่วยนะคะ”
รจนาไฉนจะเดินไป ปัทม์เข้ามาคว้าแขนไว้ แต่เธอสะบัดออก
“คุณไม่มีสิทธิมารั้งตัวฉัน คุณพูนทวีคะ เราไป...”
“แย่จัง ลืมไปว่าซักผ้าทิ้งไว้ ขอตัวไปซักผ้าก่อนนะครับ”
พ่อเลี้ยงพูนทวีรีบวิ่งออกไป หวังให้ทั้งสองเคลียร์กัน
“ฉันอยากปรับความเข้าใจกับเธอ”
“ไม่จำเป็นค่ะ เราต่างเข้าใจกันดี ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ไปเถอะค่ะ”
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าเธอจะฟังฉันและให้อภัยฉัน”
ปัทม์สีหน้าจริงจัง รจนาไฉนมองแล้วยิ้มให้ปัทม์
“งั้นคุณไม่ต้องไปค่ะ ...ฉันไปเอง”
รจนาไฉนเดินเลี่ยงหนีออกไป ปัทม์เดินตาม
“ให้โอกาสผมแก้ตัวเถอะ ผมผิดไปแล้ว...ผมขอโทษ ผมเข้าใจความจริงหมดแล้ว”
รจนาไฉนยังเดินหนี ปัทม์ตัดสินใจร้องเพลงชาวเขาที่รจนาไฉนเคยร้องตอนอยู่ไร่ชากับกลุ่มชาวเขาพอได้ยินเสียงเพลง รจนาไฉนน้ำตาซึมแล้วหยุดเดิน ปัทม์เดินเข้ามาขอโทษ
“ผมอยากให้คุณกลับไปกับผม ไปช่วยเก็บใบชาด้วยกัน...ถ้าปล่อยให้ใบชาอ่อนแตกใบแก่ มันสายเกินไปที่จะเก็บเกี่ยว” ปัทม์น้ำตาซึม
“มันสายไปแล้วค่ะ”
“ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่เราจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน ที่รักและศรัทธาในตัวเรา” ปัทม์น้ำเสียงจริงจัง
“ใช่ค่ะ...ไม่มีคำว่าสายเกินไปกับคนที่รักและศรัทธาในตัวเรา แต่ไม่ใช่คุณ”
รจนาไฉนพูดจบก็เดินออกไป...ปัทม์ยืนอึ้งน้ำตาซึม ที่รจนาไฉนไม่ยอมให้อภัย
เมื่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้วรจนาไฉนมาที่ไร่ปัทมกุล เพื่อมารับตัวนพรัตน์กลับไปรักษาที่กรุงเทพฯ...นพรัตน์ยิ้มให้กำลังใจ
“ลูกตัดสินใจดีแล้วใช่มั้ย”
“เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่ะ เพื่อนจะพาคุณพ่อกลับไปรักษาตัวที่บ้านของเรา”
“ลูกเคยสงสัยไหม ว่าทำไมพ่อยังเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่กับแม่ ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าแม่นิสัยเป็นยังไง...เพราะพ่อเชื่อว่าคนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน พ่อก็เลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี มองข้ามข้อเสีย...พ่อเคยคิดจะทิ้งแม่เขาไป แต่ไม่เคยทำได้สักที เพราะพ่อรู้ว่าพ่อขาดแม่ไม่ได้ เขามีบางส่วนที่เติมเต็มชีวิตพ่อ แล้วลูกล่ะเพื่อน...เคยถามตัวเองบ้าง
มั้ย...ว่าคุณปัทม์คือส่วนเติมเต็มชีวิตลูกรึเปล่า...ลูกต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้”
วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง วันที่ 14 มิถุนายน 2556
“ว่าไง เล่ามา...มันเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าคุณไม่เชื่อใจภรรยาคุณ แล้วคุณจะเชื่อผมได้ยังไง”
“ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น”
“คุณปวุฒิ บอกเขาไปสิ ว่าเรื่องราวเป็นยังไง” รจนาไฉนไม่พอใจ
ปัทม์มองต้องการคำตอบ ปวุฒินิ่งเงียบ แล้วย้อนกลับปัทม์กวน ๆ
“คุณคิดว่าการที่เราสองคนอยู่ด้วยกันทั้งคืน มันจะเกิดอะไรได้บ้าง”
ปวุฒิพูดไม่ทันจบ ปัทม์ต่อยเข้าที่หน้าทันที รจนาไฉนตกใจร้องห้าม ปัทม์ไม่สนใจเข้าต่อยปวุฒิ ปวุฒิก็ตอบโต้ พ่อเลี้ยงพูนทวีวิ่งออกมาจากบ้าน เข้ามาห้าม ถูกปัทม์ต่อยกระเด็นออกไปชนกับชิ, จันทร์เจ้า และปยงค์ที่วิ่งเข้ามา
ปัทม์หน้ามืดไม่ฟังใคร เข้าไปซ้ำปวุฒิที่ล้มลง...รจนาไฉนเข้าไปดึงปัทม์ออก และปกป้องปวุฒิ...ปัทม์ไม่พอใจ
“เธอปกป้องมัน เธอเป็นชู้กับมัน”
รจนาไฉนโมโหเข้ามาตบหน้าปัทม์
“ตบอีกสิ ถ้าคิดว่ามันจะทำให้เธอดูดี ทำให้ฉันใจอ่อนยอมเชื่อว่าเธอไม่ได้มีอะไรกับมัน”
“คุณพูดอะไร”
ปัทม์ส่งโทรศัพท์ที่มีคลิปภาพวิดีโอของรจนาไฉนกับปวุฒิให้ดู รจนาไฉนเห็นภาพก็ตกใจ แต่รู้สึกน้อยใจและเสียใจที่สุดที่เขาไม่เชื่อใจเธอเลย
“มันคงทำให้คุณโกรธและเสียใจ และคิดไปได้ต่าง ๆ นานา แต่ฉันอยากให้คุณฟังความจริงจากคนที่รักคุณ
มีหลายคนเคยพูดไว้ว่า เราสองคนไปด้วยกันไม่ได้ เราต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉันพยายามเอาชนะความคิดนั้นให้ได้ แต่วันนี้...ฉันไม่อยากหลอกตัวเองอีกแล้ว เราไปด้วยกันไม่ได้จริง ๆ”
ปัทม์ได้ฟังคำพูดของรจนาไฉนก็ยิ่งเสียใจ เพราะมันช่างเหมือนกับในฝันร้ายของเขา...
“คุณพูนทวีคะ ช่วยพาฉันออกไปจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด...ได้โปรดเถอะค่ะ”
“ครับ ๆ” พ่อเลี้ยงพูนทวีรีบเดินตรงไปที่รถทันที
รจนาไฉนหันไปมองปัทม์ ปัทม์เดินหนีเข้าไปในบ้าน...ปวุฒิเดินเข้ามาหารจนาไฉน
“คุณเพื่อนจะไปไหน ผมพาไปส่งเอง”
“คุณเพื่อนเขาต้องการฉัน ไม่ใช่คุณ”
ปวุฒิและพ่อเลี้ยงพูนทวีเริ่มออกอาการเขม่นกัน รจนาไฉนเข้ามาบอกปวุฒิ
“อย่าให้เรื่องมันแย่กว่านี้อีกเลยค่ะ”
ปวุฒิเข้าใจความต้องการของรจนาไฉน เดินขึ้นรถขับรถออกไป...โลมฤทัยยืนมองความร้าวฉานของรจนาไฉนยิ้มพอใจ ที่แผนการสำเร็จอย่างง่ายดาย
“ไม่นึกเลยว่ามันจะง่ายอย่างนี้”
“อย่าเพิ่งประมาท คุณปัทม์ไม่ได้ไล่มัน แต่มันไปเอง มันอาจเปลี่ยนใจกลับมาอีกก็ได้” ลำเพาเตือน
“การถูกไม่ไว้ใจ...เป็นจุดอ่อนในใจนังเพื่อน มันไม่มีวันให้อภัยคุณปัทม์ค่ะ”
“แล้วถ้าคุณปัทม์รู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนของลูก กลับไปง้อมันล่ะ”
มันจะไม่เกิดขึ้นค่ะ ..ยิ่งมันเลือกไปกับพ่อเลี้ยงพูนทวี เพื่อนรักหันมาเผาเรือนเพื่อนแบบนี้ จะตอกย้ำให้คุณปัทม์เกลียดชังไม่คิดพบหน้ามันอีก!” โลมฤทัยมั่นใจ
ปัทม์มองภาพถ่ายที่มอบให้รจนาไฉน แล้วโยนทิ้ง เปรมหยิบขึ้นแล้วเดินเอาภาพมาส่งให้ปัทม์...
“ไปตามตัวหนูเพื่อนกลับมาเถอะ”
“คุณแม่จะให้ผมตามตัวผู้หญิงหลายใจ กลับมาตอกย้ำความโง่ของผมเหรอครับ”
“ทำไมถึงไม่เชื่อใจคนที่รัก”
“ไม่ใช่เพราะความเชื่อใจเหรอครับที่ทำร้ายผมเสมอ รจนาไฉนไม่ต่างจากแสงจันทร์หรือผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ ปลิ้นปล้อนหลอกลวง ไม่รู้จักพอ”
“ถ้าลูกยังเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง แม่พูดอะไรไปก็คงไม่มีผล และถ้าหากลูกไม่รู้จักผู้หญิงที่ลูกใช้ชีวิตอยู่ด้วย เขาก็ไม่ควรจะอยู่กับลูกเช่นกัน”
พูดจบเปรมเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ปัทม์ยืนหงุดหงิดงุ่นง่านไปมา หยิบภาพรจนาไฉนขึ้นมา เหมือนจะใจอ่อน แต่กลับปาทิ้งไป
ตอนที่ 15
พ่อเลี้ยงพูนทวีพารจนาไฉนมาที่บ้านของตัวเองเพื่อให้เธอสบายใจขึ้น รจนาไฉนมองสวนดอกไม้ แล้วอดนึกถึงอดีตรักของเธอกับปัทม์ไม่ได้ แต่พยายามจะตัดใจ พ่อเลี้ยงพูนทวียืนมองอยู่ใกล้ ๆ อย่างเข้าใจ
“ไปกันเถอะครับ ผมไปส่ง”
“ฉันไม่กลับค่ะ”
“ใครบอกว่าผมจะไปส่ง ผมจะพาคุณเพื่อนไปเที่ยวสวนสนุก...ไปกันครับ”
พูนทวีเข้ามาจับมือรจนาไฉน รจนาไฉนเอามือออก
“ถ้าคุณเอาตัวฉันกลับไปที่ไร่ปัทมกุล จะเท่ากับคุณตัดความเป็นเพื่อนกับฉัน คุณไม่เจอฉันที่นั่น หรือที่ไหนอีกเลย” รจนาไฉนรู้ทัน
“ผมอยากให้คุณได้ปรับความเข้าใจกัน”
“มันไม่มีประโยชน์อีกแล้วค่ะ”
“คนเข้าใจผิดกัน..เพราะคิดไม่ตรงกัน แค่หันหน้ามาพูดบอกความจริง ทุกอย่างก็จบ”
“เราจะทำอย่างนั้นได้ ถ้าเราเปิดใจ..เชื่อใจกัน ป่วยการเสียเวลากับคนที่ไม่ให้เกียรติคนรักตัวเองแล้วค่ะ...ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
รจนาไฉนเดินเข้าไปยังบริเวณบ้าน พูนทวีกลุ้มใจและเป็นห่วงความรู้สึกของรจนาไฉน
“อยู่ที่นี่ก็ดี จะได้ใกล้กัน...แต่ทำไมมันไม่สุขเลยวะ อย่างนี้ใช่มั้ยที่เขาเรียกยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ”
พ่อเลี้ยงพูนทวีบ่นอย่างเจ็บช้ำใจที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเขา...เวลาเดียวกันปัทม์พยายามทำงานทุกอย่างเพื่อไม่ให้คิดถึงรจนาไฉน พอเขาเข้ามาอาบน้ำให้ม้า แต่ม้าฟึดฟัดใส่ เดินหนี...ชิถือถังน้ำเข้ามาบอกปัทม์
“มันคิดถึงคุณรจนาไฉนน่ะครับ”
“เลิกคิดถึงผู้หญิงหลายใจได้แล้ว” ปัทม์ไม่พอใจหันมาดุชิ
“ชิว่าคุณรจนาไฉนไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้นนะนาย”
“อย่าพูดชื่อนั้นให้ฉันได้ยินอีก”
“ได้นาย ชิจะไม่พูดชื่อนั้นให้นายระเคืองหูอีก ต่อไปนี้ไร่ของเราจะไม่มีชื่อ “รจนาไฉน”
ปัทม์มองดุชิอย่างโกรธ ๆ ก่อนจะเดินหนีไปที่คอกม้าอีกคอก แล้วต้องพบความแปลกใจเห็นโลมฤทัยกำลังอาบน้ำให้ม้าอยู่...โลมฤทัยยิ้มให้ปัทม์
“อาบน้ำให้ม้าสนุกดีนะคะ ตอนแรกพบคิดว่าเป็นงานที่ยาก แต่พอได้ลองทำ ไม่น่ากลัวเลย แถมรู้สึกดีด้วย”
ปัทม์เดินหนีไปอีกคอก เพื่อแปรงขนม้า โลมฤทัยเข้ามาแปรงข้าง ๆ ปัทม์
“พบช่วยนะคะ”
ปัทม์เข้ามากระชากข้อมือโลมฤทัย
“หยุดได้แล้ว..เธอแทนที่รจนาไฉนไม่ได้หรอก”
“ทั้ง ๆ ที่พี่เพื่อนทิ้งคุณไปหาผู้ชายคนอื่นอย่างนั้นเหรอคะ”
ปัทม์สลดลง ปล่อยข้อมือโลมฤทัย
“ทุกอย่างมาถึงทางตัน แต่มันก็มีทางออก คนเราต้องเลือกทางเดินใหม่ที่ทำให้เราพบกับความสุข”
“ความสุขของฉันคือทางตันที่ปิดตาย”
ปัทม์เดินหนีออกไป โลมฤทัยยิ้มพร้อมจะสู้ต่อไป..
“มารยาหญิงนี่แหละ...จะเป็นกุญแจในการไขทางตันนั้นค่ะ” โลมฤทัยบอกกับตัวเอง
ปัทม์เดินมาที่กระท่อมท้ายไร่ แล้วหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่กลั่นแกล้งรจนาไฉนตอนมาแรก ๆ ไม่ได้... เผลอยิ้มออกมา จู่ ๆ ความแค้นใจที่ถูกหักหลังทำให้เขาโกรธขึ้นมาคิดจะจัดการเผากระท่อมทิ้ง ปวุฒิก็เข้ามาขวางไว้เสียก่อน
“ผมเคยคิดว่าคุณเป็นคนเข้มแข็ง แต่เพิ่งรู้ความจริงวันนี้เองว่าอ่อนแอ ไม่กล้ายอมรับความจริง คุณเพื่อนคิดถูกแล้วที่ทิ้งผู้ชายอย่างคุณ”
ปวุฒิพูดไม่ทันจบ ปัทม์ก็พุ่งเข้ามาเล่นงานปวุฒิทันที ทั้งสองต่อยกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ...ปวุฒิขึ้นคร่อมต่อยปัทม์ ปัทม์สภาพหมดทางสู้ ปวุฒิกระชากคอเสื้อขึ้นมาแล้วจ้องหน้า แล้วผลักปัทม์ล้มลงไป
“เมื่อใจแพ้ สู้ใครก็ไม่ชนะหรอก”
“ต้องการอะไร ทำให้รจนาไฉนทิ้งผมไปแล้ว ยังไม่สะใจรึไง รึว่าหญิงชั่วคนนั้นสั่งให้มาเย้ยผม” ปัทม์ลุกขึ้น
ปวุฒิโกรธมากพุ่งเข้าต่อยปัทม์ล้มลงไปอีก...
“เลิกดูถูกผู้หญิงที่รักคุณสักที ถ้ารจนาไฉนทิ้งคุณไปอยู่กับพ่อเลี้ยงพูนทวี ผมจะสะใจที่สุด แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะหัวใจของผู้หญิงคนนั้นรักคุณมากเกินไป”
ปัทม์อึ้งระคนแปลกใจในคำพูดของปวุฒิ
“คุณหมายความว่าไง”
“ความรักไม่ได้หมายถึงการครอบครองหรือแสดงความเป็นเจ้าของ แต่รวมถึงความเชื่อใจ...ผมรักรจนาไฉนมาก แต่เธอรักคุณ”
ปัทม์อึ้งกับความจริงที่ปวุฒิบอก
“ถ้าคุณทำให้รจนาไฉนเสียใจอีก ผมจะเล่นงานคุณถึงตายแน่”
ปวุฒิมองขู่ปัทม์แล้วเดินออกไป ปัทม์เริ่มหูตาสว่าง เข้าใจความจริงมากขึ้น
ด้านอุรารัตน์หลังแน่ใจแล้วว่าเธอท้อง จึงรีบมาบอกปลัดวราห์ให้รู้ ปลัดวราห์ไม่พอใจ ยืนกรานปฏิเสธ แถมยังพูดจาดูถูกว่าไม่รู้ใครเป็นพ่อ
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง ฉันรู้ดีว่าเด็กในท้องเป็นลูกคุณ”
“ผมไม่น่าสอนวิชาเอาตัวรอดให้คุณเลย คุณคงจะใช้มันพร่ำเพรื่อ เอาตัวรอดด้วยวิธีการเอาตัวเข้าแลกมานับไม่ถ้วน ...เด็กคนนี้อาจจะเป็นลูกของคนเข็นผักหลังตลาด พ่อค้าเขียงหมู รึไม่ก็คนงานต่างด้าวก็ได้... ใครจะรู้”
“สารเลว!”
อุรารัตน์โกรธจัดเงื้อมือจะตบปลัดวราห์ แต่เขาไวกว่าจับมือไว้ ก่อนจะควักเงินให้ พลางบีบปากอุรารัตน์
“ห้าร้อย...เป็นค่านมเด็ก ถือว่าเป็นการทำบุญสำหรับคนเคย ๆ แต่จำไว้... เลิกตอแยฉันได้แล้ว ไม่งั้นเด็กคนนี้จะไม่ได้เกิด”
ปลัดวราห์ผลักอุรารัตน์กระแทกกับผนังของโรงแรม แล้วเดินออกไป อุรารัตน์ร้องไห้เสียใจ นงนุชวิ่งเข้ามาดู
“คุณแอรี่ ไม่เป็นไรนะคะ”
อุรารัตน์คิดบางอย่างได้ รีบเดินออกไปด้วยความเสียใจ นงนุชรีบวิ่งตามอย่างเป็นห่วง
“คุณแอรี่จะไปไหนคะ”
“ฉันจะเอาเด็กออก”
นงนุชตกใจ รีบเข้ามาขวางไว้
“ไม่ได้นะคะ คุณแอรี่จะทำร้ายเด็กไม่ได้”
“ฉันเกลียดมัน พ่อมันยังไม่ยอมรับแล้วจะเกิดมาทำไม”
“เด็กไม่ผิดนะคะ อย่างน้อยเขาก็เป็นลูกของเรา ทำแท้งเท่ากับฆ่าคนหยุดสร้างกรรมสร้างบาปให้ตัวเองเถอะค่ะ ไม่งั้นคุณแอรี่ก็ต้องเผชิญกับความลำบากทั้งชีวิต”
นงนุชหว่านล้อมอุรารัตน์ อุรารัตน์ค่อย ๆ คิด ร้องไห้ออกมา
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“ค่อย ๆ คิดค่ะ มีลมหายใจก็ต้องมีทางออกลูกในท้องเกิดมาอาจเป็นอภิชาตบุตรคอยช่วยเหลือเกื้อหนุนแม่นะคะ”
อุรารัตน์คิดตามที่นงนุชพูด เริ่มคิดแผน การในการเอาตัวรอด...เวลาเดียวกันรจนาไฉนกำลังนั่งเด็ดสตรอเบอรี่ในไร่ พ่อเลี้ยงพูนทวีเดินเข้ามา แย่งตะกร้าไป
“คุณเพื่อนทำอะไรครับ”
รจนาไฉนยิ้มเศร้า ๆ พยายามทำใจ ล้อเล่นกับพ่อเลี้ยงพูนทวี
“ซักผ้ามั้งคะ”
“ผมไม่ให้ซัก ที่นี่มีเครื่องซัก ไม่ต้องซักเองครับ”
“ไม่ได้ค่ะ โบราณว่าไว้ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”
“ผมยังไม่มีลูก และผมก็ไม่ชอบควายด้วย ไม่อยากโดนสวมเขา.. เอ่อ...ผมไม่ได้ตั้งใจครับ”
“ช่างมันเถอะค่ะ เอาตะกร้ามาค่ะ เพื่อนช่วยตัดสตรอเบอรี่ให้...ให้ทำเถอะค่ะ นี่คงเป็นงานสุดท้ายที่เพื่อนจะช่วยคุณ”
“คุณจะไปไหน”
“เพื่อนตัดสินใจแล้วค่ะ เพื่อนจะพาคุณพ่อกลับไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ เพื่อนไม่ต้องการให้เป็นภาระของใคร”
“ถ้าคุณเพื่อนเกรงใจปัทม์ พาคุณพ่อมาพักฟื้นที่นี่ก็ได้ครับ ผมยินดี”
“ไม่ล่ะค่ะ แค่นี้เพื่อนก็เกรงใจคุณแย่อยู่แล้ว”
“อย่าลืมสิครับ เราเป็นเพื่อนกัน...โทษฐานที่รู้จักกัน ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะให้ช่วยใครล่ะครับ”
“งั้นเพื่อนคนดีช่วยไปเอาตะกร้าใบใหม่ได้ไหมคะ ใบนี้เต็มแล้วค่ะ”
“ด้วยความยินดีครับเพื่อน”
พ่อเลี้ยงพูนทวีตะเบ๊ให้ แล้ววิ่งออกไป รจนาไฉนมองแล้วยิ้ม เดินไปนั่งตัดสตรอเบอรี่ต่อ ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ คิดว่าเป็นพ่อเลี้ยงพูนทวี
“ได้ตะกร้ามาเร็วจัง”
รจนาไฉนหันไปก็ตกใจ เมื่อเจอปัทม์ยืนยิ้มอยู่ รจนาไฉนเดินหนีมาเจอพ่อเลี้ยงพูนทวีที่ถือตะกร้าเข้ามา
“คุณเพื่อนจะไปไหนครับ เหมือนหนีใครมา”
รจนาไฉนไม่ทันตอบ ปัทม์เดินตามเข้ามา
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับรจนาไฉน”
พ่อเลี้ยงพูนทวีจะเดินออกไป แต่รจนาไฉนร้องห้ามไว้ บอกไม่มีอะไรจะคุยด้วย พ่อเลี้ยงพูนทวีอึกอัก
“แกมีอะไรก็ไปทำซะ” ปัทม์ไล่พูนทวี
“ฉันไปช่วยนะคะ”
รจนาไฉนจะเดินไป ปัทม์เข้ามาคว้าแขนไว้ แต่เธอสะบัดออก
“คุณไม่มีสิทธิมารั้งตัวฉัน คุณพูนทวีคะ เราไป...”
“แย่จัง ลืมไปว่าซักผ้าทิ้งไว้ ขอตัวไปซักผ้าก่อนนะครับ”
พ่อเลี้ยงพูนทวีรีบวิ่งออกไป หวังให้ทั้งสองเคลียร์กัน
“ฉันอยากปรับความเข้าใจกับเธอ”
“ไม่จำเป็นค่ะ เราต่างเข้าใจกันดี ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ไปเถอะค่ะ”
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าเธอจะฟังฉันและให้อภัยฉัน”
ปัทม์สีหน้าจริงจัง รจนาไฉนมองแล้วยิ้มให้ปัทม์
“งั้นคุณไม่ต้องไปค่ะ ...ฉันไปเอง”
รจนาไฉนเดินเลี่ยงหนีออกไป ปัทม์เดินตาม
“ให้โอกาสผมแก้ตัวเถอะ ผมผิดไปแล้ว...ผมขอโทษ ผมเข้าใจความจริงหมดแล้ว”
รจนาไฉนยังเดินหนี ปัทม์ตัดสินใจร้องเพลงชาวเขาที่รจนาไฉนเคยร้องตอนอยู่ไร่ชากับกลุ่มชาวเขาพอได้ยินเสียงเพลง รจนาไฉนน้ำตาซึมแล้วหยุดเดิน ปัทม์เดินเข้ามาขอโทษ
“ผมอยากให้คุณกลับไปกับผม ไปช่วยเก็บใบชาด้วยกัน...ถ้าปล่อยให้ใบชาอ่อนแตกใบแก่ มันสายเกินไปที่จะเก็บเกี่ยว” ปัทม์น้ำตาซึม
“มันสายไปแล้วค่ะ”
“ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่เราจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน ที่รักและศรัทธาในตัวเรา” ปัทม์น้ำเสียงจริงจัง
“ใช่ค่ะ...ไม่มีคำว่าสายเกินไปกับคนที่รักและศรัทธาในตัวเรา แต่ไม่ใช่คุณ”
รจนาไฉนพูดจบก็เดินออกไป...ปัทม์ยืนอึ้งน้ำตาซึม ที่รจนาไฉนไม่ยอมให้อภัย
เมื่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้วรจนาไฉนมาที่ไร่ปัทมกุล เพื่อมารับตัวนพรัตน์กลับไปรักษาที่กรุงเทพฯ...นพรัตน์ยิ้มให้กำลังใจ
“ลูกตัดสินใจดีแล้วใช่มั้ย”
“เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่ะ เพื่อนจะพาคุณพ่อกลับไปรักษาตัวที่บ้านของเรา”
“ลูกเคยสงสัยไหม ว่าทำไมพ่อยังเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่กับแม่ ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าแม่นิสัยเป็นยังไง...เพราะพ่อเชื่อว่าคนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน พ่อก็เลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี มองข้ามข้อเสีย...พ่อเคยคิดจะทิ้งแม่เขาไป แต่ไม่เคยทำได้สักที เพราะพ่อรู้ว่าพ่อขาดแม่ไม่ได้ เขามีบางส่วนที่เติมเต็มชีวิตพ่อ แล้วลูกล่ะเพื่อน...เคยถามตัวเองบ้าง
มั้ย...ว่าคุณปัทม์คือส่วนเติมเต็มชีวิตลูกรึเปล่า...ลูกต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)






0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น